วันพุธ, พฤษภาคม 1, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS“ฝ่ายความมั่นคง”ชี้สู้รบในตะวันออกกลาง ไม่ยืดเยื้อ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ฝ่ายความมั่นคง”ชี้สู้รบในตะวันออกกลาง ไม่ยืดเยื้อ

นายกรัฐมนตรี สั่ง “ทอ.” เตรียมเครื่องบินให้พร้อม เพื่ออพยพคนไทยกลับจากอิสราเอล เมื่อได้รับสัญญาณให้บินเข้าไปในพื้นที่สู้รบ ด้าน ผบ.ทอ.เตรียมพร้อมชุดนักบิน ทีมแพทย์ รับคนไทยกลับ 15 ต.ค.นี้ 

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 14 ต.ค.66 เวลานี้ต้องพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการสู้รบกันในตะวันออกกลาง สร้างความกังวลให้กับนานาชาติทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ที่มีแรงงานไทยทำงานอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมากซึ่งอาจตกอยู่ในอันตราย และส่วนหนึ่งมีความประสงค์จะเดินทางกลับ ขณะที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ เตรียมความพร้อมของชุดนักบิน ทีมแพทย์กองทัพอากาศในการเดินทางไปรับคนไทยในวันที่ 15 ต.ค.นี้ 

@@@…….โดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมอากาศยานให้พร้อมไว้ เพื่ออพยพคนไทยกลับจากอิสราเอล เมื่อได้รับสัญญาณให้บินเข้าไปในพื้นที่สู้รบ หรือพื้นที่ใกล้เคียงได้ในทันที ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง มองการสู้รบกันครั้งนี้มีลักษณะที่ต่างออกไป เนื่องจากเป็นการใช้กำลังอาวุธสู้รบกันระหว่างรัฐกับองค์กรที่มิใช่รัฐ โดยมีที่มาจากความขัดแย้งเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วมาอย่างยาวนาน แต่ความพยายามในการแก้ไขนั้น ล้มเหลวมาโดยตลอด 

@@@…….อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึง กองกำลังฮามาส นั้น พวกเขาคือ องค์กรที่มิใช่รัฐ และเป็น กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งควบคุมทางแดนเหนือฉนวนกาซา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการครอบครองเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซาของอิสราเอล เนื่องจากมีความเชื่อว่า ดินแดนประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์ ซึ่งรวมถึงอิสราเอลในปัจจุบัน เป็นดินแดนของอิสลาม และชื่อ “ฮามาส” ก็มาจากแนวคิดสำคัญดังกล่าว โดยฮามาสเป็นภาษาอาหรับ แปลว่า ขวัญกำลังใจ มาจากคำย่อของ “ขบวนการอิสลามที่มีใจในการต่อต้าน” 

@@@…….จนถึงปัจจุบันความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล-ปาเลสไตน์” ก็ยังคงอยู่ ทั้งยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่เห็นได้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 ที่กลุ่มฮามาส ได้ปล่อยจรวดยิงใส่อิสราเอลถึง 5,000 ลูก ในวันซิมหัต โทราห์ ซึ่งเป็นวันที่ชาวยิวจะอ่านพระคัมภีร์โทราห์จบ และจะเริ่มต้นการอ่านพระคัมภีร์ของรอบปีถัดไป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสูญเสียให้ทั้งสองฟากฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวมุสลิม หรือแม้แต่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งดังกล่าว 

@@@…….ฝ่ายความมั่นคง ประเมินว่า การปิดล้อมฉนวนกาซา ตัดอาหาร ตัดน้ำ ตัดพลังงานไฟฟ้า จะดำเนินต่อไป จนถึงจุดหนึ่งแล้ว คาดว่า กำลังทหารอิสราเอล จะบุกเข้าไปในฉนวนกาซาเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮามาสในพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างแน่นอน เนื่องเพราะกลุ่มฮามาสเหล่านี้ คือ แหล่งภัยคุกคามต่อความอยู่รอด และคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติที่จะต้องถูกทำลายลงเพื่อให้แน่ใจว่าชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนในประเทศจะเข้าสู่สถานการณ์ปลอดภัยได้ในที่สุด ซึ่งการตัดสินใจใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ตั้งอยู่บนปัจจัยการเมือง เศรษฐกิจ และประเด็นทางสังคมที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง 

@@@…….ฝ่ายความมั่นคง เชื่อว่า สถานการณ์การสู้รบ จะยังไม่จบสิ้นโดยเร็ว แต่ก็ไม่น่าจะยืดเยื้อยาวนาน ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การควบคุมของนานาชาติ และการยับยั้งชั่งใจของกลุ่มประเทศ รวมทั้งองค์กรที่มิใช่รัฐ ซึ่งสนับสนุนแต่ละฝ่ายอยู่ ทั้งนี้ เพื่อมิให้สถานการณ์ความขัดแย้ง และการสู้รบ ขยายตัวไปสู่การสู้รบระหว่างรัฐต่อรัฐจากนี้ไป  ฝ่ายความมั่นคงหวังว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการสู้รบกันในตะวันออกกลาง จะค่อย ๆ คลี่คลายลงได้ และคนไทยในพื้นที่จะอพยพออกจากพื้นที่สู้รบ หรือพื้นที่อันตรายได้อย่างปลอดภัยได้สำเร็จทุกคนในที่สุด 

@@@…….กลับมาที่สถานการณ์บ้านเรากันบ้าง หลังจากที่ “สุทิน คลังแสง” เข้ารับตำแหน่ง “รมว.กลาโหม” ก็ได้นำคณะตรวจเยี่ยมแต่ละเหล่าทัพ โดยได้ตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่ง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้การต้อนรับ ณ กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบภารกิจ การจัด การดำเนินงานที่สำคัญของกองบัญชาการกองทัพไทย โดย รมว.กลาโหม ได้ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสมสามเหล่าทัพ และรับฟัง การบรรยายสรุปภารกิจของกองบัญชาการกองทัพไทย รับชมวีดิทัศน์การสาธิตระบบควบคุมบังคับบัญชา พร้อมทั้งได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานให้แก่กองบัญชาการกองทัพไทย

@@@…….ที่กองบัญชาการกองทัพบก “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมกองทัพบก โดย พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง จัดรถเทียมม้าและขบวนม้าเกียรติยศ ให้การต้อนรับ และได้นำเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ ได้มีการมอบเครื่องหมายแสดงความสามารถพิเศษทางทหารชั้นกิตติมศักดิ์ของกองทัพบก ให้แก่ รมว.กลาโหม ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า จากนั้น รมว.กลาโหมได้เข้าห้องประชุมเพื่อรับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของกองทัพบก โดยมีผู้บังคับบัญชาชั้นสูงพร้อมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงเข้าร่วมในการประชุม 

@@@…….สำหรับการประชุม รมว.กลาโหม ได้กล่าวขอบคุณที่กองทัพบกให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติและอบอุ่น สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์และเกียรติภูมิของกองทัพบกที่มีมาอย่างยาวนาน พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหมที่จะดำเนินการร่วมกับกองทัพบกและเหล่าทัพอื่น ทั้งนี้ รมว.กลาโหมได้ให้ความสำคัญกับกองทัพบกในเรื่องการพัฒนากองทัพให้มีความทันสมัยในทุกด้าน ทั้งด้านศักยภาพในการป้องกันประเทศ การปรับขนาดกองทัพให้มีความเหมาะสมเพื่อสอดรับกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการกองทัพ และที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงการได้รับความร่วมมือจากประชาชน พร้อมชื่นชมกองทัพบกที่ได้ริเริ่มพัฒนาระบบการตรวจเลือกทหารกองประจำการแบบสมัครใจ ซึ่งปัจจุบันได้ขยายผลไปยังทุกเหล่าทัพ และขอบคุณกองทัพบกที่ได้ปฏิบัติงานในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติในทันที รวมถึงการปฏิบัติของกองกำลังป้องกันชายแดนในการสกัดกั้นยาเสพติดอย่างเข้มแข็ง โดยกระทรวงกลาโหมพร้อมร่วมมือกับกองทัพบกในการปฏิบัติงานในทุกด้าน 

@@@…….กองทัพเรือ….พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสนาธิการทหารเรือ / เสนาธิการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติภารกิจของหน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ บริเวณสะพานโยทะกา ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ตามที่กองทัพเรือ ได้รับหนังสือขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำ พร้อมกำลังพล อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ลงสู่แม่น้ำบางปะกง ณ พื้นที่อำเภอองครักษ์นั้น ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือ ได้สั่งการให้กรมอู่ทหารเรือจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำพื้นที่จังหวัดนครนายก โดยจัดเรือผลักดันน้ำ จำนวน 40 ลำ พร้อมกำลังพล อุปกรณ์ และยุทโธปกรณ์ จากอู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ ซึ่งได้สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจตามที่จังหวัดนครนายกร้องขอ และจะทำการติดตั้งเรือผลักดันน้ำทั้ง 2 จุด จำนวนจุดละ 20 ลำ

@@@…….โดยหน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำได้ติดตั้งและเดินเครื่องระบบเรือผลักดันน้ำชุดแรก จำนวน 10 ลำ บริเวณสะพานโยทะกา ซึ่งบริเวณนี้จะมีการติดตั้งเรือผลักดันน้ำอีก 10 ลำ ต่อมา เรือผลักดันน้ำชุดที่สอง ได้ถูกติดตั้ง ณ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำนครนายก ตำบลทรายมูล จำนวน 5 ลำ และจะดำเนินการติดตั้งอีก 15 ลำ ตลอดจนเดินเครื่องผลักดันน้ำพร้อมกันทันทีทั้ง 2 จุด เพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างด่วนที่สุด โดยการปฏิบัติชุดเฉพาะกิจผลักดันน้ำ จะเดินเครื่องวันละ 12 ชั่วโมง เวลา 08.00-20.00 น. 

@@@…….สำหรับเรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ซึ่งได้พระราชทานพระราชดำริสำหรับแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำหลากตั้งแต่ปี 2538 โดยแนวความคิดนี้ กรมชลประทานได้นำไปดัดแปลงระบบ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาระบบน้ำทั่วประเทศจวบจนปัจจุบัน และจากองค์ความรู้ในการสร้างเรือผลักดันน้ำที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ทำให้กองทัพเรือสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่ เพื่อนำไปใช้ในพื้นที่ประสบอุทกภัยในปี 2554 ได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังเป็นการสนองต่อพระราชดำริแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำอุปกรณ์เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมมาผลิตและพัฒนาขึ้นใหม่เป็น 3 ขนาด คือขนาด 320 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 150,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ขนาด 220 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 100,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และขนาด 120 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 30,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ทั้งนี้ เรือผลักดันน้ำ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการระบายน้ำเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ครั้งละปริมาณมาก อีกทั้งยังสามารถชะล้างไล่ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ก้นแอ่งให้หมดไป ทำให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เป็นแอ่ง เป็นบึงและเป็นคอขวด ซึ่งเป็นที่ลุ่มระบายน้ำออกได้ลำบากและไหลออกได้ช้า 

@@@…….กองทัพอากาศ…..พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้แถลงนโยบายประจำปี พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมเฉลิมอากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการ นักเรียนนายเรืออากาศ และสื่อสารมวลชนเข้าร่วมรับฟังการแถลงนโยบายฯ  สำหรับการแถลงนโยบาย เป็นการสื่อสารเจตนารมณ์ของ พล.อ.อ. พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ไปยังกำลังพลในสังกัดกองทัพอากาศ ให้ทราบและตระหนักถึงหน้าที่อันสำคัญในการปฏิบัติงานราชการ โดยสาระสำคัญของการแถลงนโยบายภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่มุ่งสู่การเป็น “กองทัพอากาศที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ UNBEATABLE AIR FORCE” ผ่านการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญ 8 ด้าน

@@@…….ประกอบด้วย 1.ด้านกำลังพลและการศึกษา (Personnel & Education) 2.ด้านข่าวกรองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Intelligence & IR) 3.ด้านยุทธการและการฝึก (Operations & Training) 4.ด้านการส่งกำลังบำรุง (Logistics) 5.ด้านกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์ (Civil affairs & Public relations) 6.ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ICT & Cyber) 7.ด้านสวัสดิการ (Welfare) 8.ด้านการกำกับดูแลมาตรฐาน (Standardization) โดยยังเน้นย้ำถึงความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ต้อง “รู้ รัก สามัคคี” คือ การรู้และรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง มีความจงรักภักดีต่อองค์กร และต้องมีความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกพื้นฐานในการพัฒนากำลังพลให้รู้รักสำนึกในหน้าที่การเป็นทหารอากาศ เพื่อนำกองทัพอากาศสู่ความแข็งแกร่งที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ โดยสอดคล้องกับชื่อนามเรียกขานของท่านผู้บัญชาการทหารอากาศ ว่า “ARM STRONG” ที่มีความหมายถึงการเป็นผู้นำทหารอากาศที่เข็มแข็ง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและทุ่มเทเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 

 ………………………………….

 คอลัมน์ :“Military Key”

 โดย ..“รหัสมอร์ส”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img