“เปรียญสิบ” เป็นคนหนึ่งที่ติดตาม “คดีเงินทอนวัด” ตั้งแต่ตำรวจกองปราบบุกจับ พระพรหมดิลก พระพรหมสิทธิ รวมทั้ง พระพรหมเมธี แต่ พระพรหมเมธี โชคดี “ไหวตัวทัน” หลบหนีลี้ภัยไปอยู่ประเทศเยอรมนีทัน
ทั้ง 3 รูป เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ถูก “จับกุม” ในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมี “พระผู้ใหญ่” อาจรู้เห็นเป็นใจ หรือแม้ “ไม่รู้เห็นเป็นใจ” แต่ “ปล่อยวาง” ปล่อยให้เพื่อนที่เคยเรียน เคยฉันข้าววงเดียวกันถูก “จับกุม” ถูกกระชากผ้าเหลืองโดยที่ไม่กล้าแม้จะ “ต้านทาน” ยก พระวินัย กฎหมายสงฆ์ ขึ้นมา
การที่พระเถระทั้ง 3 รูปถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี พระพุทธศาสนา คณะสงฆ์เมืองไทย “เสียโอกาส” ไปมากมาย
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/03/51555-1024x768.jpg)
ความจริงคณะสงฆ์มีกฎหมายเป็นของตัวเอง สามารถ “ยับยั้ง” อำนาจรัฐได้ เหมือน “ทหาร” เวลาคนของถูกจับจะมี “ทหารพระธรรมนูญ” คอยดูแล แต่เสียดายคณะสงฆ์ไทยมีเจ้าคณะปกครองที่ “ฉลาดน้อย” เยอะ รัฐให้อำนาจไว้แต่ไม่ได้นำมาใช้..เพราะส่วนใหญ่มาจากชันชั้นไพร่ “ขี้กลัว”
ยิ่งตอนนั้นมีข่าวลือว่า “คนผมขาว” อ้างอำนาจ “นอกรัฐธรรมนูญ” ทำให้แม้แต่ “สังฆบิดร” ได้แต่ทำใจ “หลับตานั่งภาวนา” หรือแม้กระทั้งมีข่าว “ซุบซิบ”ว่า มีพระบางรูปที่กระหายอำนาจ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ “ทรยศครูบาอาจารย์” ร่วมประชุมกับทีมจับกุมภายใต้ตึกบัญชาการแห่งหนึ่งก็มี
สุดท้าย “เมื่อเกลือเป็นหนอน” ผนวกกับ “อำนาจรัฐ” ที่เป็น “เผด็จการ” จึงจับกุมทั้งพระพรหมดิลก พระพรหมสิทธิ และคณะได้ โดยที่ “พระคุณเจ้า” ทุกรูป ยอมติดคุก แต่ไม่ยอม “เปล่งวาจาสึก” เพื่อรักษา “ความเป็นพระ” เอาไว้ ซึ่งเป็นไปตามหลักวินัย และกฎหมายของคณะสงฆ์ พ.ร.บ.2505 และที่สำคัญยึดแบบอย่างของ “พระพิมลธรรม” เป็นที่ตั้ง
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/03/2222-1024x768.jpg)
หลังจาก “ฟ้าเปลี่ยนสี” พระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระอรรถกิจโสภณ เลขาพระพรหมดิลก ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึง “คืนสมณศักดิ์” ให้ โดยปรากฎในราชกิจจานุเบกษาว่า “ท่านไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา และไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ โดยยังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ..”
ตอนนี้กำลังรอดูว่า “มหาเถรสมาคม-รัฐบาล” จะเยียวยา “พระพรหมดิลก” อย่างไร???
เพราะตอนจับกุมถอดหมดทั้งสมณศักดิ์ เจ้าอาวาส กรรมการมหาเถรสมาคม รวมทั้งตำแหน่ง “เจ้าคณะกทม.” ก่อให้เกิดความ “อับอาย” ขายหน้าแทบซุกแผ่นดินหนี
ทุกวันนี้เห็น “พระพรหมดิลก” ยังไป ร่วมงานกับ “มหาเถรสมาคม” พูดตรง ๆ “ผิดคาด”
“เปรียญสิบ” ร่ายยาวมาเพื่อทบทวนให้ “ชาวพุทธ” ได้เห็นภาพว่าคดี “เงินทอนวัด” มันเป็นมาอย่างไร สืบเนื่องจากคดีนี้มันไม่ได้มีแค่ พระพรหมดิลก-พระอรรถกิจโสภณ แต่มันยังมี “วัดสระเกศ” นำโดย “พระพรหมสิทธิ” พร้อมบรรดา “เจ้าคุณ” อีกหลายรูป ที่ยังไม่ได้คืน “สมณศักดิ์-เยียวยา”
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลฏีกา “ยกฟ้อง” วินิจฉัยไม่มีความผิดทั้งเรื่อง “ทุจริต-ฟอกเงิน” ต้องคืนเงินทุกบัญชีให้ “พระพรหมสิทธิ” รวมทั้ง “พระพรหมดิลก” ด้วย และล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลฏีกา “คดีถึงที่สุด” สรุปเรื่องทางกฎหมาย “บ้านเมือง” จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว
“เปรียญสิบ” พูดมาตั้งแต่ตอน “พระพรหมดิลก-พระพรหมสิทธิ” และคณะถูกจับกุมและติดคุกว่า ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระภิกษุเหล่านี้ ซ้ำไม่เคยเข้าใกล้ ไม่เคยได้รับแบ่งปันแม้ “ข้าวกล่องเดียว” แต่เรียกร้องความเป็นธรรมให้พวกท่าน เพราะเห็นว่า รัฐบาล และมหาเถรสมาคม “ทำไม่ถูกต้อง”
เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ “ศาลฏีกา” ยกฟ้อง “ศาลแพ่ง” ตัดสินคดีถึงที่สุดแล้วคือ “ไม่ผิด”
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/03/5768888-1024x768.jpg)
ไฉน! “รัฐบาล-มหาเถรสมาคม” จึงไม่ดำเนินการ “คืนสมศักดิ์” หรือ “เยียวยา” ให้กับมหาเถระเหล่านี้ โดยเฉพาะ “อดีตพระพรหมสิทธิ-อดีตพระพรหมเมธี” และคณะ
การที่ “พระสมเด็จบางรูป” บอกว่าท่านเหล่านั้น “ขาดจากความเป็นพระ” ก็ไม่น่าใช่ เพราะพระเถระเหล่านี้ถูกจับกุมและ “ติดคุก” นอนห้องเดียวกับ “พระพรหมดิลก” ในหนังสือ “ราชกิจจา” ก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “ท่านไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา ไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ โดยยังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ..”
จริงอยู่เรื่องคืน “สมณศักดิ์” แม้จะเป็น “พระราชอำนาจ” แต่เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง “รัฐบาล-มหาเถรสมาคม” และ “คณะองคมนตรี” ที่มีหน้าที่พิจารณา “สมณศักดิ์” ถามว่า รออะไรอยู่..??
ยุคประเทศไทย “ฟ้าเปลี่ยนสี” สังคมไทยน่าจะหมดข้อกล่าวหาว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “เผด็จการ” นานแล้ว
…………………………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: riwpaalueng@gmail.com