วันศุกร์, ธันวาคม 6, 2024
spot_imgspot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSสงครามตัวแทนทำ“องค์กรสีกากี”ป่วน “บิ๊กต่าย”มีลุ้นได้นั่ง“ผบ.ตร.คนที่ 15”
spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สงครามตัวแทนทำ“องค์กรสีกากี”ป่วน “บิ๊กต่าย”มีลุ้นได้นั่ง“ผบ.ตร.คนที่ 15”

เรื่องร้อนๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เห็นทียังไม่จบง่ายๆ แม้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. พร้อมด้วย “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกัน เหมือนต้องการยุติปัญหาความขัดแย้ง ปิดรอยร้าวไม่ให้สังคมเห็น ก่อนถูกย้ายให้เข้ามาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตามภาษาสื่อที่เรียกกันว่า “เด้งคู่”

แต่เมื่อวันที่ 22 มี.ค. พนักงานสอบสวนชุดทำคดีเว็บพนันออนไลน์ “บีเอ็นเค มาสเตอร์” พร้อมตำรวจสน.ทุ่งสองห้อง ในฐานะเจ้าของพื้นที่ นำหมายเรียก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ครั้งที่ 2 ข้อหาสมคบร่วมกันฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ไปส่งมอบให้ที่บ้านย่านวิภาวดี 60 อีกครั้ง หลังจากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกครั้งที่ 1 ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) เนื่องจากยังไม่มีหนังสือคำสั่งให้ยุติการสอบสวนและให้โอนสำนวนไปสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

มีรายงานว่า ในการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 พนักงานสอบสวนมีการนำไปแสดงยัง 3 สถานที่ คือ 1.บ้านพักในซอยวิภาวดี 60 2.สำนักงานปลัดสำนักนายกฯทำเนียบรัฐบาล 3.บ้านที่สงขลาตามภูมิลำเนาโดยกำหนดให้มาเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00 น. ที่ บก.น.2 โดยก่อนหน้านั้นทางตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหานายตำรวจคนสนิทของ “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์มินนี่ และมีการระบุว่ามีเส้นเงินของบัญชีม้า
เข้าไปเกี่ยวข้องกับ รองผบ.ตร.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

ด้าน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ว่า ได้ลาราชการซึ่งเป็นกำหนดการลาไว้ล่วงหน้ากับพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ รวมทั้งได้แจ้งกับนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกฯให้รับทราบแล้ว โดยเป็นการลาเพื่อเดินทางไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ จ.หนองคาย จากนั้นจะเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวที่ประเทศอังกฤษในวันที่ 26 มี.ค. และจะกลับมาประเทศไทยในวันที่ 1 เม.ย. ส่วนการถอนฟ้องคู่กรณีนั้น พร้อมถอนหมดทุกอย่าง ไม่มีปัญหา ในเมื่อจบคือจบ ซึ่งสังคมจะเห็นเองว่าจบแล้ว วันนี้ทุกคนต้องสามัคคีตนเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แล้ว สื่อต้องไปดูว่าควรทำแบบไหน แต่ต่อมา “บิ๊กโจ๊ก” ได้ยกเลิกการเดินทางไปอังกฤษ โดยระบุว่า ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล ให้เข้าไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ สน.สุทธิสาร “พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ” รองผบก.กองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เข้าแจ้งความต่อ “พ.ต.ท.พิทักษ์ แก้วคำหาร” สว.(สอบสวน) สน.สุทธิสาร ให้ดำเนินคดีกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” และ “พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ” รอง ผบก.สส.บช.ภ.2 กรณีที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้ไหว้วานให้พ.ต.อ.พัลลภ ปลอมลายมือชื่อตนเอง ในวันซ้อมย่อยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเข็มพระราชทาน วปอ.รุ่นที่ 65

จากความเคลื่อนไหวดังกล่าว เหมือนกับมีความพยายามของนายตำรวจบางกลุ่ม ที่ต้องการพยายามหาประเด็นมาเล่นงาน “บิ๊กโจ๊ก” ให้มีคดีต่างๆ เป็นชนักปักหลังไว้หวังให้พ้นเส้นทางเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ “แม่ทัพสีกากี”

ษิทรา เบี้ยบังเกิด

แต่ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย คือการออกมาแถลงข่าว “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยร่ายยาวเปิดโปง “ขบวนการส่วย” ที่เกี่ยวพันกับ “นายตำรวจระดับสูง” และเปิดเผย “เส้นทางเงินของบัญชีม้า” ที่มีการโยงไปถึงนายตำรวจในครั้งนี้ โดยยืนยันว่า การออกมาครั้งนี้ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังและไม่มีคนว่าจ้างแต่อย่างใด และยืนยันไม่ได้เป็นการช่วย “พล.อ.อ.สุรเชษฐ์” การออกมาเปิดเผยครั้งนี้อาจจะไม่คุ้ม แต่สังคมคุ้ม ซึ่งรู้ว่าหลังจากนี้ก็จะโดนขุด โดนแฉ รวมถึงโดนข้อหาแน่นอน

“ทนายตั้ม” ยังระบุว่า ตัวละครในเรื่องนี้จะมีหลายคน ที่สำคัญคือ “ดาบ ย. คอมมานโด” มีหน้าที่รวบรวมส่วยขั้นต้นทั้งหมด เพื่อนำส่งต่อไปยัง “รอง ฟ.” คนสนิทของ “บิ๊กสีกากี” นายตำรวจรุ่น 61 ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ และยังเป็นรุ่นเดียวกับพ่อบ้านของ “พล.อ.อ.สุรเชษฐ์” และอีกบุคคลหนึ่งคือ “บิ๊กสีกากี” ที่มีเส้นทางเงินไปถึงญาติ

นอกจากนี้ ยังโชว์หลักฐานเส้นทางเงินที่มีการโอนเงินผ่านบัญชีม้าและหลักฐานการโอนเงินให้นายตำรวจ โดย “ดาบยาว คอมมานโด” จะเป็นผู้ถือบัญชีม้า ทั้งนี้พบว่าบัญชีม้าบางบัญชี เจ้าของบัญชีเสียชีวิตแล้ว แต่ยังมีคนทำธุรกรรม อีกทั้งยังมีอีก 2 กองบังคับการ และ 1 กองบัญชาการ ได้ออกตั๋วที่มีการเก็บยอดตั๋วส่งหน่วยงานต่างๆ โดย “ทนายตั้ม” จะนำหลักฐานทั้งหมดไปมอบให้ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ให้ทำการสอบสวนขยายผล

หลายฝ่ายเชื่อว่า การออกมาแถลงข่าวของ “ทนายตั้ม” ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ห่างหายไปจากแวดวงสื่อพอสมควร อีกทั้งการเปิดเผยข้อมูล ยังพุ่งไป “บิ๊กสีกากี” ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับ “บิ๊กโจ๊ก” และถ้าหากข้อมูลที่นำมาเปิดเผย มีน้ำหนักมีหลักฐานเพียงพอในการดำเนินคดี จะมีผลกระทบกับนายตำรวจบางกลุ่มมากพอสมควร

ด้าน “นิวัติไชย  เกษมมงคล” เลขาธิการป.ป.ช. ออกมาเปิดเผยภายหลังกระแสข่าวการยื่นสำนวนคดีตรวจสอบเอาผิดกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ว่า ป.ป.ช.ยังไม่พบสำนวนอื่นๆ ที่ส่งมา ทราบแต่เพียงข่าวที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ให้สัมภาษณ์เท่านั้น โดยชี้ว่าหากเป็นสำนวนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ก็สามารถส่งมาได้ แต่หากไม่มั่นใจ ป.ป.ช.ก็ยินดีที่จะช่วยตรวจสอบให้ ตอนนี้ในมือ ป.ป.ช.มีเพียงสำนวนที่กล่าวโทษพล.ต.อ.สุรเชษฐ์กับพวก ที่มีการเรียกรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ และสำนวนที่มีการกล่าวโทษ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย”

นิวัติไชย  เกษมมงคล

เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า คณะกรรมการฯมีมติตรวจรับสำนวน ต่อไปคือกระบวนการตรวจสอบ ที่จะพิจารณารายละเอียดดูว่า สำนวนที่ตำรวจส่งมาครบถ้วนหรือไม่ หากไม่ครบ ก็ต้องขอเพิ่มไปยังพนักงานสอบสวน และถ้าหากมีมูลความผิด ก็สามารถสั่งไต่สวนได้เลย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ตรวจสอบก็ทราบว่า หลักฐานในสำนวนคดียังไม่ครบถ้วน เร็วๆ นี้จะมีการส่งหนังสือเพื่อขอเอกสารและพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ หากป.ป.ช.เห็นว่าหลักฐานจากพนักงานสอบไม่เพียงพอ ก็สามารถค้นหาพยานหลักฐานได้ด้วยตนเอง จากนี้ต้องรอดูพนักงานสอบสวน ชุดทำคดีเว็บพนันออนไลน์ “บีเอ็นเค มาสเตอร์” จะดำเนินการต่อไป อย่างไร เพราะถ้ามีหมายเรียก 2 ครั้ง แล้วไม่ได้รับความร่วมมือ จะต้องออกหมายจับ

ในขณะที่ “บิ๊กต่อ” ให้สัมภาษณ์ก่อนจะถูกโยกย้ายมาที่สำนักนายกฯ ระบุว่า จะส่งสำนวนทั้งหมดไปให้ป.ป.ช.

แต่เมื่อใช้อำนาจในฐานะ ผบ.ตร.ไม่ได้แล้ว นโยบายของ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร. ทำหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. จะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง “บิ๊กต่อ” กับ “บิ๊กโจ๊ก” เนื่องจากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เห็นว่า ต้องเป็นหน้าที่ของป.ป.ช. ทำการสอบสวนนำมาสู่การตัดสินใจของหัวหน้ารัฐบาล สั่งโยกย้าย “2 บิ๊กสีกากี” เพื่อลบภาพความขัดแย้งของ ตร.

ก่อนหน้านั้น ทีมทนายความของ “บิ๊กโจ๊ก” ประกอบด้วย “ณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์” และ “วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ” และ “พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์” อดีต ผบก.ศฝร.บช.น. ทีมงานของรองผบ.ตร. ซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหาเว็บพนันของ “มินนี่” ได่เปิดข้อมูลพาดพิงไปถึงนายตำรวจใหญ่ โดยเฉพาะข้อมูลที่ “ผู้การนำเกียรติ” แฉถึงความเชื่อมโยงในเส้นทางการเงินของ “น.ส.พิมพ์วิไล” แอดมินเว็บบีเอ็นเคนมาสเตอร์ โดยระบุว่า ในแถวหนึ่งพบความเชื่อมโยงไปยังบัญชีของ นายพล “ต.”-ภรรยา “ก.”-พี่สาว “จ.”-พี่ชาย “ช.”

และเหตุที่ตกเป็นผู้ต้องหาสืบเนื่องมาจากการที่ “ผู้การนำเกียรติ” ได้ทำสำนวน “คดีเป้ รักผู้การเท่าไหร่” ใน จ.ชลบุรี เรียกเงินเว็บพนันกว่า 100 ล้านบาท โดยการสืบสวนในครั้งนั้นพบว่า มี พ.ต.อ.“ด.” มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำผิดกฎหมายและยังมีธุรกรรมทางการเงินไปยังบุคคลอื่นอีกหลายราย และในจำนวนนั้นพบเป็น ตำรวจหญิง 2 นายที่มีความสัมพันธ์กับตำรวจระดับสูง รวมถึงการทำ “คดีกำนันนก” ซึ่งสาเหตุที่ตนออกมาพูดครั้งนี้ถือเป็นจังหวะและโอกาส ตอนนี้ไม่กังวล แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมน้อมรับ

ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นฉนวนเหตุสำคัญ ที่ทำให้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และเป็น ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ตัดสินใจ โยกย้าย “2 บิ๊กสีกากี” คือ “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กโจ๊ก” ให้เข้ามาช่วยราชการที่ “สำนักงานนายกรัฐมนตรี” พร้อมทั้งมอบหมายให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร. รักษาราชการในเก้าอี้ ผบ.ตร.แทน

โดย “เศรษฐา” ให้เหตุผลว่า อย่างที่ทราบว่า มีประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เรื่องคดีความทั้งหลาย ซึ่งต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปได้ ไม่มีการแทรกแซง ต้องย้ำว่า ทั้ง 2 ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปได้ด้วยความสะดวก ดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการก้าวก่าย จึงมีการโอนทั้ง 2 ท่านมาช่วยราชการที่สำนักนายกฯชั่วคราว เป็นระยะเวลา 60 วัน เพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบเรื่องที่มีข้อขัดแย้งทุกเรื่อง ทุกคดีที่มีการกล่าวโทษกัน ให้แล้วเสร็จโดยจะมีการลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจำนวน 3 คน ทั้งนี้ การแต่งตั้งโอนย้ายมีผลทันที ยืนยันว่า เป็นการย้ายชั่วคราว ไม่ได้เป็นการลงโทษ ทุกอย่างขั้นตอนเงินเดือนทุกอย่าง ยังเหมือนเดิม

สำหรับ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่หัวหน้ารัฐบาลตั้งขึ้นกำหนดกรอบเวลาในการทำงาน 60 วัน ซึ่งคณะกรรมการประกอบด้วย “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย “ชาติพงษ์ จีระพันธุ” อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) และ “พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” อดีตรองผบ.ตร. กระบวนการสอบสวน ก็น่าจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง

โดย “พล.ต.อ.วินัย” กล่าวถึงการทำงานในการตรวจสอบว่า เรื่องที่มีการแถลงโต้ตอบกันเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ของเว็บพนัน ซึ่งการทำความจริงให้ปรากฏ ต้องได้รายละเอียดว่าใครทำสิ่งใดอย่างไร เชื่อว่าทางคณะกรรมการจะสามารถทำความจริงให้ปรากฏได้ แม้จะไม่ได้ดูสำนวนการสอบสวนจากป.ป.ช. แต่ยืนยันว่า สามารถทำความจริงให้ปรากฏได้ โดยคณะกรรมการมีวิธีการอื่น ที่จะให้ได้มาถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง

จากนี้ต้องรอดูว่า ภายในระยะเวลาที่ได้รับมอบหมาย ทางคณะกรรมการฯจะสามารถหาข้อสรุป เพื่อนำมาสู่การวินิจฉัย ในประเด็นที่มีการนำข้อมูลตอบโต้กันไปมาได้หรือไม่ เพราะในส่วนของป.ป.ช.และการสอบสวนของพนักงานสอบที่ทำสำนวนคดี ทางคณะกรรมการคงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ หากสรุปออกมาแล้ว แนวทางในการตรวจสอบ ไม่ตรงกับองค์กรที่ทำหน้าที่ในการสอบสวน จะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งดูเงื่อนเวลาในการทำงาน 60 วัน ก็ตรงที่นายกฯกำหนดไว้

สำหรับการดึง “บิ๊กต่อ”และ “บิ๊กโจ๊ก” มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ นั่นหมายความว่า ถ้าหากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น อาจทำให้การส่ง 2 นายตำรวจใหญ่ กลับไปที่ทำหน้าที่ ที่ตร. อาจต้องช้าลงไปอีก ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ “หัวหน้ารัฐบาล” ที่สั่งโยกย้าย 2 บิ๊กสีกากี ทั้ง “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กโจ๊ก” หลายฝ่ายมองว่า อาจจะไม่ได้เป็นการตัดสินใจตามลำพัง เพราะถือเป็นนายตำรวจที่มากด้วยคอนเนคชั่น มีผู้มากบารมีหนุนหลังอยู่ อาจมีบุคคลสำคัญอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการมอบหมายให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รอง ผบ.ตร. ทำหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ ถือว่ามีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผบ.ตร. ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการไป

ประกอบกับ “บิ๊กปั๊ด” มีความใกล้ชิด “ผู้มากบารมีบางคน” ที่มีส่วนสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทย (พท.) เข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาล จึงอาจเข้ามาช่วยคลีคลายวิกฤติ อีกทั้งยังต้องการ เปิดโอกาสให้ “บิ๊กต่าย” ได้โชว์ผลงานเพื่อเป็นบันไดก้าวเข้าไปสู่การเป็น “ผบ.ตร.ตัวจริง”

ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั่น เท่ากับ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” จะมีโอกาสทำหน้าที่เป็น ผบ.ตร. 2 ปี จากนั้นถ้า “บิ๊กโจ๊ก” เคลียร์ข้อหาเรื่องเส้นเงินของเว็บพนันได้ ก็จะได้ลุ้นเป็น “แม่ทัพสีกากี” เพราะนับจากวันนั้น ยังมีอายุราชการเหลืออีก 5 ปี แต่ถ้าขึ้นผู้นำองค์กรสีกากีในปีนี้เลย อาจไม่สง่างาม เพราะยังมีคดีความติดตัวอยู่ และจะทำหน้าที่เป็นผบ.ตร.ถึง 7 ปี ทำให้นายตำรวจระดับ “พล.ต.อ.” หมดโอกาสได้นั่งเก้าอี้สำคัญ กลายเป็นแรงกดดันกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์”

จากนี้ต้องรอดูบทสรุปในการคลี่คลายวิกฤติ ที่เกิดขึ้นกับ “องค์กรสีกากี” ที่ “หัวหน้ารัฐบาล” ออกแบบไว้ จะจบลงอย่างไร เพราะเกี่ยวข้องกับอนาคต “2 บิ๊กสีกากี” ที่ “คนหนึ่ง” กำลังจะเกษียณอายุราชการ อีก “คนหนึ่ง” มีลุ้นชิงเก้า ผบ.ตร.

นาทีนี้ต้องบอกว่า “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” เสียเปรียบ เพราะเหลืออายุราชการเพียงไม่กี่เดือน คงไม่อยากซ้ำร้อยอดีตแม่ทัพสีกากีหลายคน ที่ไม่สามารถนั่งทำหน้าที่จนครบวาระได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความจริงและโชคชะตา อีกทั้งยังมีบางฝ่ายเล่นบท “สงครามตัวแทน” หนทางที่จะทำให้ความขัดแย้งบานปลายยิ่งมีความเป็นไปได้สูง

………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img