วันเสาร์, กรกฎาคม 27, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSลุ้นผลสอบ‘กรมวิทย์ฯ’ตรวจข้าวค้าง10ปี ‘รัฐบาล’ไฟเขียวหรือชี้นำหวัง‘ฟอกขาว’ 
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ลุ้นผลสอบ‘กรมวิทย์ฯ’ตรวจข้าวค้าง10ปี ‘รัฐบาล’ไฟเขียวหรือชี้นำหวัง‘ฟอกขาว’ 

หลายคนรอลุ้นว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะส่ง ข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ที่เก็บไว้ในโกดัง 10 ปี ไปให้ “หน่วยงานไหน” ตรวจสอบ เมื่อมีเสียงวิจารณ์ทั้งในโลกออนไลน์ และคนที่ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ ต่างออกมาวิจารณ์ในแง่ลบ หลัง “บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ พาสื่อมวลชนไปกินข้าวโชว์ ทั้งยืนยันว่า สามารถกินได้

โดย “เศรษฐา” ระบุว่า ก่อนที่จะนำข้าวออกไปขาย ต้องมีการตรวจสอบเรื่องคุณภาพให้ชัดเจนก่อน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ถ้าไม่ปลอดภัยเราก็ไม่ทำ ซึ่งต้องเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช้หน่วยงานภาครัฐ  เพราะเกรงว่าจะไม่เชื่อถือกันอีก

ซึ่งในที่สุด “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ก็ออกมาระบุในช่วงหนึ่งระหว่างลงพื้นที่รับฟังสรุปการดำเนินงานลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างเสริมสุขภาพ จ.เพชรบุรี ระหว่างการตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับรายงานมาแล้วว่า มีการส่งเข้าไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบแล้ว

สมศักดิ์ เทพสุทิน

ต้องยอมรับว่า ท่าที “หัวหน้ารัฐบาล” ที่แสดงออกมา ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะก่อนหน้านี้มีเสียงวิจารณ์ในทางลบ เมื่อ “ภูมิธรรม” ระบุว่า จะนำข้าวไปประมูลขายต่างประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกา แต่ถ้ายังมีเสียงวิจารณ์ในประเทศ และสื่อนำเสนอข่าวสาร ในเรื่องนี้อย่างเข้มข้น ย่อมถูกนำเสนอไปยังต่างประเทศ คงต้องถามว่า เมื่อเป็นข่าวในแง่ลบ ใครสนใจจะยื่นซองประมูล และยิ่งถ้ามีการซื้อไปแล้ว พบว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพ จะกระทบกับความน่าเชื่อถือของข้าวไทย และภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ 

เพียงแต่ว่า “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์” เป็นหน่วยงานภาครัฐ บทสรุปที่ออกมา จะทำให้สังคมเกิดความเชื่อถือหรือไม่

ก่อนหน้านั้น “รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์” หรือ “อาจารย์อ๊อด” อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาเปิดเผยผลการตรวจตัวอย่างข้าว 10 ปีจากโกดังในโครงการรับจำนำข้าว ในจ.สุรินทร์ หลังทีมข่าว “สำนักข่าววันนิวส์” ส่งไปให้ตรวจ โดยพบสารอะฟลาทอกซิน หรือ “สารก่อมะเร็ง” ที่มีอันตรายมาก อยู่ในระดับ 20 พีบีบี ซึ่งสะท้อนว่าอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย ไม่ควรนำมารับประทาน

ดร.วีรชัย กล่าวด้วยว่า ได้ทำการตรวจสอบซ้ำถึง 3 รอบ โดยใช้เทสต์คิตของศูนย์วิจัยข้าว พบว่า 1 ใน 3 พบสารอันตรายนี้ แต่เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จะมีการส่งตรวจด้านเคมีอย่างละเอียดอีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยการตรวจในเบื้องต้นครั้งนี้ถือว่าแม่นยำ เพราะเป็นการตรวจเพื่อการส่งออกของศูนย์วิจัยข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการระดับสูงร่วมตรวจสอบด้วย

และการตรวจหาสารเคมีในสัปดาห์หน้า จะเน้นตรวจหาสาร “ฟอสไฟด์” และ “เมทิลโบรไมด์” ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการรมมอด แมลง หนู และพบว่า ข้าวที่อยู่ในโกดังข้าวเก่า 10 ปีก็มี “สีเหลือง” ด้วย และคุณสมบัติทางกายภาพที่นักข่าวส่งให้มา คือ เหม็นสาบ เป็นสีเหลือง และขอให้รอผลเพิ่มเติมต่อในสัปดาห์หน้า

หลังปรากฏเป็นข้าวออกมา ก็มีเสียงวิจารณ์ดังขึ้นทันที เพราะเห็นว่าต่อไปหากหน่วยงานไหนตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่ผิดปกติ สามารถรับประทานได้ จะกลายเป็นสวนทางกัน รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบกับความน่าเชื่อถือของฝ่ายบริหารไปในทันที

ยิ่งโครงการรับจำนำข้าวถือเป็นโครงการเรือธง ในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายมหาศาล มีการทุจริตเกิดขึ้น นำมาสู่การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกนักการเมืองระดับรัฐมนตรี-ข้าราชการระดับสูง

ในส่วนของ “ยิ่งลักษณ์” ก็ตกอยู่ในสภาพนักโทษหนีคดี หลังจากศาลฎีกาฯตัดสินจำคุกในข้อหาปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต เป็นเวลา 5 ปี แต่อดีตนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ตัดสินใจเดินทางหลบหนีไปต่างประเทศ  ทำให้หลายคนเชื่อว่า กระบวนการนำข้าวที่อยู่โกงดังตามโครงการรับจำนำ เป็นกระบวนการฟอกขาวให้ “ยิ่งลักษณ์” เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้กับ “อดีตนายกฯหญิง” หากต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายล้างผิด

สำหรับอีเว้นท์สำคัญ ที่นำมาสู่เสียงวิจารณ์กระบวนการฟอกขาว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อ “ภูมิธรรม” นำ คณะสื่อมวลชนและผู้ส่งออกลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าว คลังสินค้ากิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และคลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 ต.เฉลียง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ ที่มีข้าวอยู่ประมาณ 150,000 กระสอบ คิดเป็นปริมาณข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นตัน โดยเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำปีการผลิต 2556/57 และถือเป็นข้าวล็อตสุดท้ายของโครงการที่ยังตกค้างอยู่ ซึ่งถือเป็นข้าวค้างสต๊อก เป็นเวลา 10  ปี

สำหรับข้าวใน 2 โกดังนี้ ก่อนหน้านี้ “องค์การคลังสินค้า” (อคส.) ได้เตรียมเปิดประมูลจำนวน 15,013 ตัน เป็นการทั่วไป เมื่อช่วงเดือนม.ค.67 ซึ่งเป็นข้าวล็อตเดียวกันกับที่ “ภูมิธรรม” ไปตรวจสอบ

แต่ปรากฏว่า หลังประกาศทีโออาร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.67 กำหนดเปิดคลังสินค้าให้ผู้สนใจประมูลเข้าดูสภาพข้าวระหว่างวันที่ 25-29 ม.ค.67 เปิดให้ยื่นซองคุณสมบัติในวันที่ 31 ม.ค.67 และเปิดซองในวันที่ 8 ก.พ.67 พร้อมกับเปิดชี้แจงทีโออาร์วันที่ 24 ม.ค.67 แต่ไม่มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการชี้แจง “อคส.” จึงได้ยกเลิกการประมูลข้าวครั้งนี้

โดย “ภูมิธรรม” ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หุงข้าว พร้อมทั้งกินโชว์ ซึ่งพบว่า ก่อนหุงข้าวต้องผ่านการซาว 15 ครั้ง มีมอดลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเป็นข้าวปกติ จะซาวเพียง 3 ครั้ง แต่รองนายกฯก็ยืนยันเป็นข้าวดีและยังกินได้ ท้องไม่เสีย จากนั้นประกาศจะเดินหน้า นำไปประมูลขายต่อไปในต่างประเทศ เพื่อนำเงินกลับมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเสียงวิจารณ์มาก “ภูมิธรรม” ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้สึกว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจจะลดลง ไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่มนวลไม่มีปัญหาอะไร ใครทานได้ก็ทาน ใครไม่อยากทานก็ไม่ต้องทาน ใครซื้อก็ซื้อ ซื้อไม่ได้ ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมมากกว่าสิ่งที่ควรทำ และหากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หารือกันจนสิ้นสงสัย ก็จะเร่งดำเนินการประมูลภายในเดือนพ.ค.นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนมิ.ย. อยากให้มันจบ จะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดราม่า เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง”

พร้อมบอกด้วยว่า ข้าวจากคลังกิตติชัย รมยาทุก 2 เดือน และจากคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง รมยาทุกเดือน ถือว่าเป็นข้าวที่เก็บรักษาอย่างดี รมยาตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ไม่มีนกเข้า ไม่มีฝนตกที่ทำให้ข้าวเสียหาย หากเปิดประมูลคาดว่าราคากลางจะอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับกรณีที่มีการเชื่อมโยงการเคลียร์ข้าวของรัฐบาลออกจากโกดังในครั้งนี้ กับกระแสข่าวการเดินทางกลับประเทศไทยของ “คุณยิ่งลักษณ์” อันนี้คือเอาจินตนาการมาชี้นำความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์จะกลับหรือไม่กลับ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนเองทำหน้าที่ในฐานะรมว.พาณิชย์ ที่ดูแลเรื่องนี้ จึงไม่อยากให้เรื่องนี้ค้าง ส่วนกระบวนการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่เกี่ยวข้อง ตนทำในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ และคิดที่จะแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงให้ชัดเจน ก็แค่นั้น

อย่าลืมว่า “ภูมิธรรม” ถือเป็นนักการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจาก “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ตั้งแต่เข้ามาทำงานร่วมกันในนามพรรคไทยรักไทย (ทรท.) เปรียบเสมือนเป็น “มันสมองทางการเมือง” ให้อดีตนายกฯ ซึ่งในรัฐบาลเศรษฐา “เดอะอ้วน” ก็เปรียบเสมือนเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” เวลามีใครกล่าวหาโจมตี “ทักษิณ ชินวัตร” และ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็จะแอ่นอกออกมาปกป้องตลอด 

ดังนั้น เมื่อ “ทักษิณ” ส่งสัญญาณว่า ปีหน้า “ยิ่งลักษณ์” จะเดินทางกลับมาประเทศไทย หลายคนเลยตีความว่า จะใช้ช่องทางไหน หรือการสร้างความชอบธรรมให้กับข้าวที่เก็บไว้ ตามโครงการรับจำนำไม่มีความเสียหาย ถือเป็นวิธีการหนึ่ง จึงไม่ใช้เรื่องแปลก เมื่อมีเสียงวิจารณ์ว่า “ภูมิธรรม” ต้องการหาช่องทาง “ฟอกขาว” ให้ “อดีตนายกฯหญิง”

นอกจากนี้ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรดังรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่ได้รับข้าวจาก “ภูมิธรรม” ยังออกมาโพสต์ภาพ โชว์ถุงข้าว และเขียนที่ถุงว่า “ข้าวโกดัง 2 ฝากให้คุณสรยุทธ รับประทานเพื่อพิสูจน์ ด้วยรักจากใจภูมิธรรม เวชยชัย”

ทาง “สรยุทธ” จึงนำข้าวที่ได้รับมาหุงเพื่อทดลองชิม โดยโชว์ข้าวให้ดูว่า ยังหุงขึ้นหม้อ และบอกว่าจะร่วนๆ กว่าข้าวธรรมดา ส่วน “ไบรท์ พิชญทัฬห์” พิธีกรร่วม เมื่อชิมแล้วบอกว่า จะไม่หอมเท่าข้าวหอมมะลิ ความนุ่มหายไปหน่อยนึง แต่ข้าวเป็นข้าว และการเป็นเรียงเป็นเม็ดยังสวย รู้สึกว่าเป็นข้าวธรรมดา เพราะข้าวหอมมะลิจะเหนียวเพราะมียางข้าวมากกว่า

ขณะที่ “รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์” รองศาสตราจารย์ คณะเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความระบุตอนหนึ่งว่า “จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรับประทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่าข้าวนั้นรับระทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ” พร้อมให้ความเห็นอีกว่า…

1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่างๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing) อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13°C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว

2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่างๆ

3.แม้จะรมยา แต่สภาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดงขณะล้าง ฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าวและด้วง

ขณะที่สื่อบางสำนักรายงานว่า มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เกษตรกรรมเชิงนิเวศ และความมั่นคงทางอาหาร ตั้งคำถามว่า ก่อนขายข้าวสารอายุ 10 ปี ต้องตอบคำถาม รมสารเคมี 6-12 ครั้ง/ปี ตกค้างขนาดไหน สารอาหารลดลงเหลือเท่าไหร่ และความเสี่ยงจากท็อกซินหรือสารก่อมะเร็ง

“สารรมควันพิษที่แจ้งว่ามีการรมปีละ 6-12 ครั้ง คือสารอะไร มีการตกค้างหรือไม่ เพราะในกรณีเมทิลโปรไมด์เมื่อตกค้างในข้าวสารแล้ว การล้างหลายครั้ง หรือการหุงก็ทำให้ลดลงได้เพียง 40-50% เท่านั้นคุณค่าของสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุอื่นๆ ที่พึงได้จากข้าวสารลดลงมากน้อยแค่ไหน ความเสี่ยงจากท็อกซิน ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเก็บมีมากน้อยแค่ไหน มีการสุ่มตรวจเพียงใด จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ และจะมีผลต่อภาพลักษณ์ข้าวไทยอย่างไร”

ด้าน “วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ให้สัมภาษณ์ผ่าน “ไทยพีบีเอส” ว่า เราเคยตรวจพบสารตกค้างเมทิลโบรไมด์ในถุงข้าวสาร ที่ผู้ประกอบการยังนำข้าวสารไปอบในกระบวนการระหว่างที่รอเตรียมจำหน่ายได้ แต่กับข้าวสารที่ถูกเก็บมาเป็นระยะเวลานาน 10 ปี จะมีสารตกค้างขนาดไหน มีผลวิจัยพบว่า สารเมทิลโบรไมด์ ยังตกค้างอยู่ในเนื้อข้าวสาร ต่อให้ล้างหลายครั้งๆ ก็ไม่ออกจากเมล็ดข้าว เราเคยศึกษาวิจัยเรื่องนี้ และนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร ก็ยอมรับ และไม่ได้ปฏิเสธ

คงต้องรอดูบทสรุปของ “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์” จะออกมาอย่างไร ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน จะทำให้สังคมยอมรับ และเชื่อถือหรือไม่ ยิ่งมีบทตรวจเบื้องต้นจาก “ศูนย์วิจัยข้าว” มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน สรุปข้าว 10 ปี มีปัญหาโดยพบสารอะฟลาทอกซิน หรือสารก่อมะเร็งที่มีอันตรายมาก อยู่ในระดับ 20 พีบีบี ดังนั้นหากหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ “กระทรวงสาธารณสุข” สรุปว่าไม่มีปัญหา ข้าวสามารถบริโภคได้ คงมีเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางแน่ๆ

ต้องถือเป็น “ระเบิดเวลา” อีกลูกหนึ่งของฝ่ายบริหาร ทางหนึ่ง…กระทบกับความน่าเชื่อถือ อีกทางหนึ่ง…อาจถูกมองกระบวนตรวจสอบถูกแทรกแซง อยู่ที่ว่า จะกล้ายอมรับข้อเท็จจริงหรือไม่

……………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”                                 

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img