วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSเศรษฐกิจไทยปี 67...ฟื้นช้า-โตต่ำ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เศรษฐกิจไทยปี 67…ฟื้นช้า-โตต่ำ

ปี 2567 จะเป็นปีที่วัดกึ๋น “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล” ว่า จะฟื้นเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องได้หรือไม่ จะยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นกลับมาอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนได้อย่างไร ทั้งนี้ในปี 2567 ก็ยังไม่มีสัญญาณ ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ว่าจะดีขึ้นอย่างที่หลายคนคาดหวัง แถมยังมีความเสี่ยงมากมาย คาดว่า การเติบโตจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า

เศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังมีปัจจัยเสี่ยง ทั้งภายนอกและภายใน สำหรับปัจจัยภายนอก ความเสี่ยงแรก คือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังโตต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดย IMF คาดเศรษฐกิจโลกโต 2.9% และ OECD คาดเศรษฐกิจโลกโต 2.7% เท่านั้น

นอกจากนี้ยังกังวลจาก ผลกระทบของภูมิศาสตร์การเมือง กรณี สงครามยูเครนกับรัสเซีย อันเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานโลก แต่ที่น่ากังวลกว่า คือ สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางเดินเรือไปยุโรปกับภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน หากโจรสลัดฮูตีโจมตีเรือพาณิชย์ขนส่งผ่านทะเลแดง และกระทบเส้นทางโลจิสติกส์ ซึ่งจะกระทบกับสินค้าไทย 9 หมื่นล้านบาท

ทำให้ธนาคารโลกประจำประเทศไทย คาดอัตราโตเศรษฐกิจของไทยปี 2567จะอยู่ที่ 3.2% และในปี 2568 ก็จะอยู่ที่ 3.1% ใกล้เคียงกับบรรดากูรูเศรษฐกิจที่คาดว่าโตที่ 3.3% ซึ่งเป็นการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน

โดยมีสัญญาณจาก ตลาดหุ้นไทย ย่ำแย่สุดในรอบ 3 ปี หุ้นไทยปี 2566 เป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนย่ำแย่เกือบจะที่สุดในโลก ดัชนี SET ติดลบไปราว 16-17% จากที่เคยอยู่สูงเกือบ 1,700 จุด ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1,354.73 จุด เมื่อดัชนีตลาดหุ้นร่วงแรง “ชนชั้นกลาง” และ “กลุ่มทุนใหญ่” เดือดร้อนเพราะเงินในกระเป๋าหาย

รวมถึง ธุรกิจไทยพากันทยอยปิดกิจการเป็นรายวัน ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เพราะเศรษฐกิจในประเทศไม่เติบโต เศรษฐกิจโลกมีปัญหา สินค้าที่ผลิตได้ ไม่มีตลาดรองรับ ส่งผลให้คนตกงานไม่มีรายได้ ย่อมส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุดของไทยเวลานี้ คือ ปัญหาหนี้ ทุกวันนี้คนไทยมีหนี้ครัวเรือนรวม 19 ล้านล้านบาท (ในระบบและนอกระบบ) โดยเฉพาะ ยอดหนี้บัตรเครดิตพุ่งสูงอย่างน่าห่วง แสดงให้เห็นว่า คนมีเงินเดือนประจำหรือระดับล่าง เริ่มมีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ความเสี่ยงจากการที่หนี้คนไทยมีจำนวนมหาศาล ทําให้กำลังซื้อลดลงและเศรษฐกิจหดตัว สัญญาณดังกล่าวยังสะท้อนจาก สินค้าแบรนด์เนมที่เคยขายดียอดเริ่มตก อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวลดลง หรือคนรวยระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

อีกทั้งล่าสุด “เครดิตบูโร” ส่งสัญญาณอสังหาฯกำลังอยู่ในโซนอันตราย มีบ้านผ่อนไม่ไหว ค้างค่างงวดพุ่ง 37% จับตาลูกหนี้กว่า 1 แสนบัญชีมูลหนี้กว่า 1.36 แสนล้านบาท เสี่ยงเป็นหนี้เสีย ในฟากแบงก์ก็คุมเข้มปล่อยสินเชื่อกลุ่มบ้าน คอนโดฯต่ำกว่า 3 ล้านเพื่อสกัดหนี้เสียไม่ให้บานปลาย ช่วงโควิดที่ผ่านมา บ้านที่ขายดีที่สุดคือ บ้านราคา 30-40 ล้านบาท แต่ตอนนี้เริ่มฝืด อาจจะเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นความซบเซาของเศรษฐกิจของจริง

ที่สำคัญ…สัญญาณจากหนี้เสียรถยนต์พุ่ง 20% มีการประเมินว่าในปี 2567 จะมีรถที่ถูกยึดราว 2 แสนคัน ทั้งหมดถือว่าเป็นปรากฏการณ์ด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น

ขณะที่ผลการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์รายไตรมาส ที่รวบรวมโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นและ Nikkei ทำการสำรวจล่าสุดระหว่างวันที่ 17 พ.ย.ถึง 7 ธ.ค.66 โดยรวบรวมคำตอบ 31 รายการ จากนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ใน 5 ประเทศเศรษฐกิจหลักในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และใน อินเดีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอในปีนี้ อันสืบเนื่องจากการชะลอตัวทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการหดตัวของเศรษฐกิจจีนหลังโควิด-19 โดยการสำรวจทั้ง 5 ประเทศ มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่ำกว่าปี 2565

รายงานนี้บอกว่า ในปีหน้าอัตราการเติบโตโดยรวมของห้าประเทศในกลุ่มอาเซียน คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในปีนี้ที่ 4.0% คาดว่าประเทศไทยน่าจะโตในอัตรา 3.3% ในปีหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.4% ของปีนี้ ในการสำรวจพบว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความกังวลต่อไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปผูกติดกับท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP

อีกทั้งการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ต้องพึ่งพาตลาดจีนสูงหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของจีน

นอกจากนี้รายงานชิ้นนี้ยังชี้ว่า การปรับลดลงของตัวเลขคาดการณ์สำหรับเศรษฐกิจไทย ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ชะลอตัวจนถึงขณะนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิดเท่านั้น

จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ยังรุมเร้า ฟันธงว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้ายังอยู่ในสภาวะที่โตช้ากว่าเพื่อนบ้านอย่างมิอาจปฏิเสธได้

……………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img