หากจะประเมินผลงานรัฐบาลเศรษฐา ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำในการบริหารประเทศมาจนถึงวันนี้ครบ 6 เดือน ต้องบอกว่า น่าผิดหวังไม่น้อย ต่ำกว่ามาตรฐาน และต่ำกว่าความคาดหวังของประชาชน
ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะคนคาดหวังภาพลักษณ์ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คือนักธุรกิจหมื่นล้านที่ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านตั้งความหวังว่า จะสามารถมากอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจเหมือนครั้งหนึ่ง ที่อดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคไทยรักไทย ประสบความสำเร็จมาแล้วระดับหนึ่งหลังยุคต้มยำกุ้ง
อีกส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นผลมาจาก กลยุทธ์การตลาดการเมือง คนคาดหวังพรรคเพื่อไทยที่มีภาพลักษณ์ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่เป็นมรดกตกทอดมาจากไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทยก่อนที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจ
แต่ด้วยความที่ “เศรษฐา” เพิ่งเข้ามาสู่การเมืองครั้งแรก ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองและกลไกการทำงานของระบบราชการ จึงดูยังขัดเขิน ประกอบกับไม่มีสส.ในมือ ทำให้ “ขาลอย” ไม่มีอำนาจจริงๆ สะท้อนจากการจัดตั้งครม.ในส่วนของเพื่อไทย ไม่มีคนของ “เศรษฐา” มาเป็นมือเป็นไม้
ที่สำคัญ รัฐมนตรีที่มาดูแลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ มาจากโควต้า “บ้านใหญ่” และ “นายใหญ่” เจ้าของพรรค ดูผิดฝาผิดตัว รัฐมนตรีบางคนเพิ่งเป็นสส.สมัยแรก บางคนเป็นสส.หลายสมัย แต่ไม่มีประสบการณ์การบริหาร บางคนเชี่ยวชาญเรื่องการเมือง แต่ไม่สันทัดเรื่องเศรษฐกิจ
แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มี รัฐมนตรีคนไหนที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ จึงกลายเป็นหุ่นเชิดของข้าราชการ บางคนไม่ได้รับการยอมรับจากข้าราชการระดับสูงในกระทรวงก็มี
หากเทียบหน้าตากับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสมัย คสช. รวมถึง “รัฐบาลลุงตู่” ยังดูดีมีความรู้ความเชี่ยวชาญเศรษฐกิจมากกว่า ครม.เศรษฐกิจในรัฐบาลเศรษฐาเสียอีก
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/5445345-1024x768.jpg)
นี่คือเหตุผลทำให้นโยบายต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้ ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่บางนโยบายเป็น “เรือธง” ของพรรคที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง อย่าง Digital Wallet แจกทุกคนๆ ละหมื่นบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนจนถึงวันนี้ยังไปไม่ถึงไหน
“ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นอีกหนึ่งนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ชูธงตอนหาเสียง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง “นายกฯเศรษฐา” ลงทุนเอาตัวเองเป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์และเซลแมนระดับชาติเร่ขายโครงการ ตอนนี้ก็เริ่มแผ่ว
ขณะที่นโยบายเฉพาะหน้า เช่น การลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมัน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ อาจจะช่วยลดภาระในระยะสั้นแต่ไปบิดเบือนโครงสร้างพลังงานของประเทศ ซึ่งจะสร้างปัญหาตามมาในอนาคตอีกมากมาย
นโยบายฟรีวีซ่า หวังดึงนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนจีน แต่กลายเป็นดาบสองคม ปรากฏว่าคนไทยแห่ไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ค่าแรงขั้นต่ำ ก็เป็นอีกนโยบายที่ล้มเหลว รัฐบาลเศรษฐาปรับเพิ่ม 2-16 บาท/วันเท่านั้น แต่ค่าครองชีพขึ้นเพิ่มสูงกว่าแล้ว
ด้านการบริหารจัดการ ดูเหมือนพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่เป็นเอกภาพ ยิ่งในช่วงแรกๆ แต่ละพรรคต่างก็มีอาณาจักรของตัวเอง นโยบายหรือมาตรการต่างๆ ที่ออกมาก็ยังขัดกันข้ามพรรคข้ามกระทรวง ต่างฝ่ายต่างหาเสียง นายกฯเศรษฐาก็สังการอะไรไม่ได้ ต้องทำงานแบบตัวคนเดียว แม้แต่ทีมงานและที่ปรึกษาก็จะถูกทุนพรรคส่งมาทีมงานประกบ
นายกฯเศรษฐาจึงหันมาเล่นบทบาท “เซลล์แมนประเทศ” ไปโปรโมทประเทศและชักชวนคนมาลงทุน ปรากฏว่าแค่ 6 เดือน ใช้เวลาอยู่ต่างประเทศ 52 วัน ทีเดียวและเดินทางไปเยือนทั้งหมด 15 ประเทศ
สงสัยว่า การที่นายกฯเศรษฐฐาไปพบเจรจากับนักธุรกิจระดับโลก เพื่อขายสินค้าของไทยและชักชวนให้เขามาลงทุนนั้น ได้เตรียมอะไรไปขาย หรือไปพบแค่พูดคุยพูดจาโน้มน้าวเท่านั้น
รัฐบาลในอดีตก็เคยพานักธุรกิจ เดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ ชวนเขามาลงทุนมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีตัวเลขยืนยันว่า ที่ไปคุยไปชักชวนให้มาลงทุนนั้น ได้ผลแค่ไหนสำเร็จกี่ราย
อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจท่านหนึ่ง เคยร่วมประชุมไปเจรจากับต่างประเทศไม่น้อย บอกว่า การไปชวนคนให้คนมาลงทุน ส่วนใหญ่ก็รับปากตามมารยาท แต่ไม่ค่อยได้ผล พอเปลี่ยนรัฐบาลก็เริ่มต้นใหม่ ข้าราชการก็ไม่สานต่อ
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/12/ghhrh-1024x768.jpg)
อย่างไรก็ตาม การจะไปชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุน เราต้องมีความพร้อมก่อน ต้องกวาดบ้านเก็บขยะใต้พรมให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค บุคคลากรที่มีทักษะ ปัญหาข้อระเบียบกฏหมายที่มีขั้นตอนยุบยับจนเป็นอุปสรรค ปัญหาการทุจริจคอรัปชั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะมาลงทุนใช้ตัดสินใจเพราะเป็นต้นทุน
นายกฯเศรษฐาทำหน้าที่เซลล์แมนให้กับประเทศนั้น ภาพอาจจะดูดี แต่ลองหันกลับมาดูภายในบ้าน มีปัญหารอแก้ไขหลายเรื่อง ไม่ว่าขจะเป็น หนี้ครัวเรือน-หมูเถื่อน-ปัญหาฝุ่น PM2.5 และ วิกฤตศรัทธาในตลาดหุ้น ล้วนพร้อมเป็นระเบิดเวลาที่รอการถอดสลักทั้งสิ้น
ถ้าจะให้ประเมินผลงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าตัว “นายกฯเศรษฐา” คาบเส้นที่ยังมีลูกขยันอยู่บ้าง แต่คะแนนครม.ต้องบอกว่า สอบตกยกชั้น!!!
……………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/AD-GC-The-Key-News-Website-1200x200-1-1024x171.jpg)