วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSตัดเกรด 6 เดือน‘รัฐบาลเศรษฐา’…รุ่งหรือร่วง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ตัดเกรด 6 เดือน‘รัฐบาลเศรษฐา’…รุ่งหรือร่วง

หากจะประเมินผลงานรัฐบาลเศรษฐา ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำในการบริหารประเทศมาจนถึงวันนี้ครบ 6 เดือน ต้องบอกว่า น่าผิดหวังไม่น้อย ต่ำกว่ามาตรฐาน และต่ำกว่าความคาดหวังของประชาชน

ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะคนคาดหวังภาพลักษณ์ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คือนักธุรกิจหมื่นล้านที่ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านตั้งความหวังว่า จะสามารถมากอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจเหมือนครั้งหนึ่ง ที่อดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคไทยรักไทย ประสบความสำเร็จมาแล้วระดับหนึ่งหลังยุคต้มยำกุ้ง

อีกส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นผลมาจาก กลยุทธ์การตลาดการเมือง คนคาดหวังพรรคเพื่อไทยที่มีภาพลักษณ์ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่เป็นมรดกตกทอดมาจากไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทยก่อนที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจ

แต่ด้วยความที่ “เศรษฐา” เพิ่งเข้ามาสู่การเมืองครั้งแรก ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองและกลไกการทำงานของระบบราชการ จึงดูยังขัดเขิน ประกอบกับไม่มีสส.ในมือ ทำให้ “ขาลอย” ไม่มีอำนาจจริงๆ สะท้อนจากการจัดตั้งครม.ในส่วนของเพื่อไทย ไม่มีคนของ “เศรษฐา” มาเป็นมือเป็นไม้

ที่สำคัญ รัฐมนตรีที่มาดูแลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ มาจากโควต้า “บ้านใหญ่” และ “นายใหญ่” เจ้าของพรรค ดูผิดฝาผิดตัว รัฐมนตรีบางคนเพิ่งเป็นสส.สมัยแรก บางคนเป็นสส.หลายสมัย แต่ไม่มีประสบการณ์การบริหาร บางคนเชี่ยวชาญเรื่องการเมือง แต่ไม่สันทัดเรื่องเศรษฐกิจ

แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มี รัฐมนตรีคนไหนที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ จึงกลายเป็นหุ่นเชิดของข้าราชการ บางคนไม่ได้รับการยอมรับจากข้าราชการระดับสูงในกระทรวงก็มี

หากเทียบหน้าตากับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสมัย คสช. รวมถึง “รัฐบาลลุงตู่” ยังดูดีมีความรู้ความเชี่ยวชาญเศรษฐกิจมากกว่า ครม.เศรษฐกิจในรัฐบาลเศรษฐาเสียอีก

นี่คือเหตุผลทำให้นโยบายต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้ ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่บางนโยบายเป็น “เรือธง” ของพรรคที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง อย่าง Digital Wallet แจกทุกคนๆ ละหมื่นบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนจนถึงวันนี้ยังไปไม่ถึงไหน

“ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นอีกหนึ่งนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ชูธงตอนหาเสียง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง “นายกฯเศรษฐา” ลงทุนเอาตัวเองเป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์และเซลแมนระดับชาติเร่ขายโครงการ ตอนนี้ก็เริ่มแผ่ว

ขณะที่นโยบายเฉพาะหน้า เช่น การลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมัน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ อาจจะช่วยลดภาระในระยะสั้นแต่ไปบิดเบือนโครงสร้างพลังงานของประเทศ ซึ่งจะสร้างปัญหาตามมาในอนาคตอีกมากมาย

นโยบายฟรีวีซ่า หวังดึงนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนจีน แต่กลายเป็นดาบสองคม ปรากฏว่าคนไทยแห่ไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ค่าแรงขั้นต่ำ ก็เป็นอีกนโยบายที่ล้มเหลว รัฐบาลเศรษฐาปรับเพิ่ม 2-16 บาท/วันเท่านั้น แต่ค่าครองชีพขึ้นเพิ่มสูงกว่าแล้ว

ด้านการบริหารจัดการ ดูเหมือนพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่เป็นเอกภาพ ยิ่งในช่วงแรกๆ แต่ละพรรคต่างก็มีอาณาจักรของตัวเอง นโยบายหรือมาตรการต่างๆ ที่ออกมาก็ยังขัดกันข้ามพรรคข้ามกระทรวง ต่างฝ่ายต่างหาเสียง นายกฯเศรษฐาก็สังการอะไรไม่ได้ ต้องทำงานแบบตัวคนเดียว แม้แต่ทีมงานและที่ปรึกษาก็จะถูกทุนพรรคส่งมาทีมงานประกบ

นายกฯเศรษฐาจึงหันมาเล่นบทบาท “เซลล์แมนประเทศ” ไปโปรโมทประเทศและชักชวนคนมาลงทุน ปรากฏว่าแค่ 6 เดือน ใช้เวลาอยู่ต่างประเทศ 52 วัน ทีเดียวและเดินทางไปเยือนทั้งหมด 15 ประเทศ

สงสัยว่า การที่นายกฯเศรษฐฐาไปพบเจรจากับนักธุรกิจระดับโลก เพื่อขายสินค้าของไทยและชักชวนให้เขามาลงทุนนั้น ได้เตรียมอะไรไปขาย หรือไปพบแค่พูดคุยพูดจาโน้มน้าวเท่านั้น

รัฐบาลในอดีตก็เคยพานักธุรกิจ เดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ ชวนเขามาลงทุนมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีตัวเลขยืนยันว่า ที่ไปคุยไปชักชวนให้มาลงทุนนั้น ได้ผลแค่ไหนสำเร็จกี่ราย

อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจท่านหนึ่ง เคยร่วมประชุมไปเจรจากับต่างประเทศไม่น้อย บอกว่า การไปชวนคนให้คนมาลงทุน ส่วนใหญ่ก็รับปากตามมารยาท แต่ไม่ค่อยได้ผล พอเปลี่ยนรัฐบาลก็เริ่มต้นใหม่ ข้าราชการก็ไม่สานต่อ

อย่างไรก็ตาม การจะไปชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุน เราต้องมีความพร้อมก่อน ต้องกวาดบ้านเก็บขยะใต้พรมให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค บุคคลากรที่มีทักษะ ปัญหาข้อระเบียบกฏหมายที่มีขั้นตอนยุบยับจนเป็นอุปสรรค ปัญหาการทุจริจคอรัปชั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะมาลงทุนใช้ตัดสินใจเพราะเป็นต้นทุน

นายกฯเศรษฐาทำหน้าที่เซลล์แมนให้กับประเทศนั้น ภาพอาจจะดูดี แต่ลองหันกลับมาดูภายในบ้าน มีปัญหารอแก้ไขหลายเรื่อง ไม่ว่าขจะเป็น หนี้ครัวเรือน-หมูเถื่อน-ปัญหาฝุ่น PM2.5 และ วิกฤตศรัทธาในตลาดหุ้น ล้วนพร้อมเป็นระเบิดเวลาที่รอการถอดสลักทั้งสิ้น

ถ้าจะให้ประเมินผลงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าตัว “นายกฯเศรษฐา” คาบเส้นที่ยังมีลูกขยันอยู่บ้าง แต่คะแนนครม.ต้องบอกว่า สอบตกยกชั้น!!!

……………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img