หากย้อนไปวันที่ 3 ตุลาคม จาก โศกนาฎกรรมกราดยิงในห้างสรรพสินค้า โดยเด็กที่ก่อเหตุ ใช้อาวุธปืนดัดแปลงที่สั่งจากอินเทอร์เน็ต มาถึงวันนี้ สังคมไทยยังต้องตื่นตระหนก กับ คดีเด็กช่างล่าหัวโรงเรียนคู่อริ โดยใช้อาวุธปืนอีกเช่นกัน
“ณัชวันก์ อัลภาชน์ เตชะเสน” ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เคยชี้แจงข้อมูลกับ คณะกรรมาธิการ การปกครอง ชุด “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” ถึงแนวทางควบคุม ครอบครอง จำหน่าย อาวุธปืน โดยให้ข้อมูลว่า…
ปัจจุบัน มีอาวุธปืนที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง 6.1 ล้านกระบอก
เป็นปืนสั้น 3.9 ล้านกระบอก
ปืนยาว 2.2 ล้านกระบอก
เป็นชื่อบุคคลผู้ครอบครอง 4 ล้านรายชื่อ
จำนวนร้านค้าอาวุธปืน 503 ร้านค้า
หลังเกิดเหตุกราดยิงช่วงต้นเดือนตุลาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำหนดมาตรการระยะสั้น และระยะยาว เพื่อควบคุม
การครอบครองปืนของประชาชนให้มีจำนวนน้อยที่สุด หยุดเพิ่มเติมอาวุธปืนในระบบ เช่น
1.สั่งงดการนำเข้าอาวุธปืนและสิ่งเทียมอาวุธปืน
2.ไม่ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ค้าสิ่งเทียมอาวุธปืนรายใหม่
3.ให้ระงับการนำเข้าไปก่อน
4.กำหนดการซื้อกระสุนปืนในสนามซ้อม ไม่เกิน 36 นัดต่อปี
รวมถึงล่าสุด ตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ฟื้นวิชาจริยธรรม ประวัติศาสตร์ มุ่งหวังลดปัญหาเด็กตีกัน
อย่างไรก็ตาม จากสถิติการเกิดคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติย้อนหลัง 7 ปี (พ.ศ.2559-2565) พบว่า…
คดีที่ใช้อาวุธปืนประกอบอาชญากรรมมี 2.2 แสนคดี
- ร้อยละ 80 เป็นปืนผิดกฎหมาย
- ร้อยละ 3 เป็นปืนที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ เช่นปืนปากกา ปืนไทยประดิษฐ์
- ร้อยละ 17 เป็นปืนมีทะเบียน
- มากกว่าครึ่งหนึ่งของปืนที่มีทะเบียนเป็นปืนโครงการสวัสดิการ
ถึงวันนี้ การแก้ไขปัญหาปืนเถื่อนเกลื่อนเมือง ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องเร่งบูรณาการ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
และที่สำคัญ คือ ต้องเกาให้ถูกที่คัน
…………….
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม
