กลายเป็นประเด็นใหญ่โตในสังคม เพราะนอกจากพฤติกรรมอันเลวทรามของ “กลุ่มเยาวชน 5 คน” ที่เรียกว่า “แก๊งลูกตำรวจ” ไปก่อคดีฆาตกรรมหญิงสติไม่ดี ด้วยการบีบคอ จับกดน้ำ ทิ้งศพอำพรางอย่างโหดเหี้ยม
แต่เบื้องหลังความอหังการของวัยรุ่นกลุ่มนี้ นอกจากต้องโทษไปยังครอบครัว ที่ไม่สอดส่องดูแลบุตรหลานแล้ว ยังมี “พฤติกรรมของกลุ่มสีกากีชุดคลี่คลายคดี” ที่ถูกขุดคุ้ยพฤติกรรมฉาวออกมาอย่างต่อเนื่อง
ไล่เรียงตั้งแต่ข้อครหา ในการจับสามีหญิงสติไม่ดี ที่เป็น “ชายขี้เมา” มาจัดฉาก บังคับให้รับสารภาพ และสุดท้าย ต้องรีบกลับลำ อ้างว่าได้หลักฐานวงจรปิด ที่จับภาพเยาวชนขณะก่อเหตุไว้ได้ เลยต้องรีบทำหนังสือขอปล่อยตัว “ชายขี้เมา” ไปที่ศาล กลายเป็นถูกขังฟรีๆ ไปเกือบ 2 วัน
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/01/S__3990150.jpg)
หนำซ้ำ ยังมี “คลิปเสียง” หลุดออกมา เรื่องการขู่เข็ญบังคับให้ “ชายขี้เมา” รับสารภาพ ทั้งการขู่นำถุงไปวางไว้บนหัว หรือบังคับให้ถอดเสื้อ กลายเป็น “ความหายนะ” ระลอกสอง ทำให้ “องค์กรสีกากี” เริ่มระส่ำ
“สมชาย หอมลออ” กรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เปิดเผยว่า การเชิญตัวหรือให้มอบตัว ในพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ในคดีการเสียชีวิตของ “หญิงสติไม่ดี” หากตำรวจไม่บันทึกภาพและเสียงด้วยภาพเคลื่อนไหวผ่านกล้อง Body Cam ตามมาตรา 22 ในพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานอุ้มหาย ขณะควบคุมตัว โดยอ้างว่า ไม่ได้บังคับเพราะผู้ต้องสงสัยคือ “ชายขี้เมา” เต็มใจมอบตัวกับตำรวจนั้น
ในกรณีนี้ต้องดูพฤติกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้จะอ้างว่าเชิญตัว แต่หากผู้ถูกเชิญตัวไม่ไป หรือไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจจะใช้กำลัง ก็ถือว่าเป็นการควบคุมตัวแล้ว
หรือถ้าผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาเข้าใจว่า ถ้าตำรวจบอกให้ไป ตัวเองต้องไป มิเช่นนั้น เจ้าหน้าที่จะใช้กำลังบังคับ ก็หมายถึงเป็นการจับกุมหรือควบคุมตัวเช่นกัน จึงต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลา ตามพ.ร.บ.อุ้มหายฯ
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/01/40078995003_ee972551c3_c.jpg)
ดังนั้น ถ้าตำรวจอ้างว่าเป็นการเชิญตัว “ชายขี้เมา” มาสอบปากคำ และเป็นการมามอบตัวเอง จึงไม่มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวผ่านกล้อง Body Cam ทางผู้บังคับบัญชาต้องสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสอบสวนผู้ที่เห็นเหตุการณ์
เช่นเดียวกับคลิปเสียง ที่มีการพูดถึงการใช้ถุงดำคลุมหัว “ชายขี้เมา” ทาง “สมชาย หอมลออ” ได้บอกว่า “อยากจะถามว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นเพื่อนเล่นของตำรวจหรือยังไง ถึงเล่นกันโดยขู่นำถุงดำมาคลุมหัวเล่นกับเขา”
โดยพฤติกรรมถ้าฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย อีกฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในสภาพผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำความผิด แล้วตำรวจกำลังสอบปากคำ เอาถุงดำมาคลุม ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ประเด็นที่สองน่าจะถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่มีลักษณะโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะว่าคนที่ถูกถุงดำคลุมขณะอยู่ในภาวะเช่นนั้น ต้องมีความรู้สึกตกใจอย่างมากจนแทบสิ้นสติ น่ามีความรู้สึก หวาดกลัวอย่างสุดขีด
ส่วนกรณีที่มีประเด็นอ้างว่า ตำรวจถอดเสื้อลุงเปี๊ยก ระหว่างอยู่ในห้องสอบปากคำให้อยู่ในที่แอร์เย็นมองว่าในส่วนนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็นการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีเช่นกัน โดยอาจไม่ถึงขั้นทรมาน
“สมชาย” ทิ้งท้ายว่า หากตำรวจมีพฤติกรรมแบบที่ปรากฏเป็นข่าวจริง คือการทำความผิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงเป็นการกระทำที่ชี้ชัดว่าผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานอุ้มหาย เรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การสั่งย้าย แต่ควรสั่งพักราชการไปเลย
แนะนำให้แจ้งความเอาผิด ตร.ชุดขู่คลุมถุงดำ “ลุงเปี๊ยก”
ส่วนผู้เสียหาย ในทางกฎหมายแนะนำว่า น่าจะต้องมีการแจ้งไปที่พนักงานอัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือฝ่ายปกครอง เพื่อให้ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ ที่ทำผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย หากทางผู้เสียหายไม่ดำเนินการ บุคคลอื่นๆ ก็สามารถแจ้งความได้เช่นกัน
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/10/fnfmee-1024x768.jpg)
“อัยการ” เผย “ลุงเปี๊ยก” เอาผิด ตร.ได้ถ้าถูกซ้อมทรมาน
ขณะที่ “วัชรินทร์ ภาณุรัตน์” รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวโดยตรง บอกว่า การจับกุมผู้ต้องหาของตำรวจ รวมไปถึงการ “ควบคุมตัว” ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ต้องแจ้งการจับกุมให้กับอัยการจังหวัดสระแก้ว และนายอำเภอทราบ ถ้าไม่ดำเนินการ ถือว่ากระทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 22 / เรื่องนี้มีการไปฝากขังต่อศาลแล้ว ก็ต้องถือว่า “ชายขี้เมา” เป็นผู้ต้องหาแล้วแน่นอน นอกจากนี้ หากมีการทำให้ “ชายขี้เมา” ถูกจำกัดเสรีภาพในร่างกาย ก็เข้าข่ายผิด ตามมาตรา 5
แต่ทั้งนี้ “ชายขี้เมา” ต้องให้ข้อเท็จจริงชัดก่อนว่า เจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมการกระทำดังกล่าวจริงหรือไม่
รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน บอกว่า การทำผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย เป็นอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายสามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ต้องขึ้นอยู่กับทางผู้เสียหายให้ความร่วมมือหรือไม่
แต่ถ้า “ชายขี้เมา” ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ว่ามีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ทุกอย่างมันก็ดำเนินการอะไรไม่ได้
สำหรับประเด็นที่เด็กกลุ่มนี้ ก่อเหตุหลายคดี ต่างกรรมต่างวาระนั้น ผู้ปกครองต้องรับผิดทางอาญาด้วยหรือไม่นั้น “อัยการวัชรินทร์” บอกว่า พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ บัญญัติไว้ว่า ผู้ปกครองถ้าไม่ดูแลเด็กปล่อยให้เด็กกระทำผิด มีอัตราโทษจำคุก 3 เดือน โดยพนักงานสอบสวนส่งเข้ามาให้อัยการ
และต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ปกครองมีส่วนส่งเสริมให้เด็กยินยอมหรือประพฤติตนไม่สมควร เสี่ยงต่อการทำผิด ถึงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้
………..
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม