“ปิยศักดิ์” เผย “ทรัมป์” เลื่อนเก็บภาษีคู่ค้าเป็น 1 ส.ค. ชี้กรณีเลวร้าย ไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษีสูงถึง 25-36% จีดีพีติดลบ 1.1% ระบุภาคเกษตรกรรมผลกระทบรุนแรงสุด โดยเฉพาะข้าวโพด-ถั่วเหลือง
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 9 กรกฎาคม เป็นวันที่ 1 สิงหาคม โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ได้ยืนยันว่าประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลงการค้าจะต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่กลับไปเป็นระดับเดียวกับที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 68 การเลื่อนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายของประเทศไทยในการหลีกเลี่ยงภาษีสูงที่อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
โดยการเลื่อนวันขึ้นภาษีให้ประเทศไทยเวลาเพิ่มเติมในการเจรจาประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการปรับปรุงข้อเสนอและเตรียมความพร้อมในการเจรจา อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการเลื่อนวันขึ้นภาษีทำให้ประเทศไทยมีเวลาในการเจรจาเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ต้องเป็นการยอมตามเงื่อนไขของสหรัฐมากขึ้น
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ไทยต้องยอมตามเงื่อนไขของสหรัฐมากขึ้นมาจากการที่สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองที่สูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงกับเวียดนามเรียบร้อยแล้วและใช้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นแม่แบบสำหรับประเทศอื่น ๆ
ซึ่งเรามองว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้กลายเป็นตัวอย่างสำคัญที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นแนวทางในการเจรจากับประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้เวียดนามต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสู่สหรัฐฯ ในอัตรา 20% ภาษีสำหรับสินค้าผ่านแดน (Trans shipment) ที่ 40% และในทางกลับกันเวียดนามต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0%
ส่วนความน่าจะเป็นในการที่ไทยจะถูกขึ้นภาษีในอัตราคล้ายกับเวียดนามยังคงเหมือนเดิม ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯ มีทรัพยากรจำกัดในการเจรจา และประเทศไทยไม่ได้เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯจะส่งสัญญาณว่าจะส่งข้อเรียกร้องฝ่ายเดียวมากกว่าการเจรจาแบบสองทาง
โดยการเลื่อนการขึ้นภาษีครั้งนี้ รวมถึงการที่ไทยยังไม่ได้ทำสัญญาณการค้ากับสหรัฐ บ่งชี้ความท้าทายหลายประการ
1. ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศคู่ค้าหลักกับสหรัฐฯ และเนื่องจากสหรัฐฯ มีทรัพยากรในการเจรจาจำกัด ทำให้การให้ความสำคัญกับประเทศไทยจึงไม่เท่ากับประเทศคู่ค้าหลักอื่น ๆ
2. ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม อาจเป็นตัวอย่างในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าสหรัฐฯ อาจต้องการให้ประเทศอื่น ๆ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เช่นเดียวกับที่เวียดนามทำ
3.การที่การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำให้สหรัฐฯ อาจไม่มั่นใจในทิศทางนโยบายของรัฐบาลไทยในอนาคต จึงเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ ต้องการที่จะเจรจากับรัฐบาลที่สามารถบริหารราชการอย่างต่อเนื่องได้
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่ต้องตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหลือน้อย การเลื่อนวันขึ้นภาษีเป็น 1 สิงหาคม 68 ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมใจที่จะยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ มากขึ้น
จากการประกาศ “Liberation Day” ณ วันที่ 2 เมษายน 68 ของประธานาธิบดีทรัมป์และข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 68 การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม ภาคเกษตรและยานยนต์จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ขณะที่ผลกระทบของภาษีส่งออกสู่สหรัฐฯ จะกระทบเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
จากการวิเคราะห์ของ InnovestX พบว่าผลกระทบต่อ GDP ไทยจะขึ้นอยู่กับระดับภาษีที่ไทยจะต้องเผชิญในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าการเจรจาการค้าจะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์ที่ 1: ไทยได้เจรจาภาษีลดลงเหลือ 10-14% หากไทยสามารถเจรจาให้ได้อัตราภาษีระดับเดียวกับสหภาพยุโรป GDP จะเติบโต 1.7% ในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของรัฐบาล สถานการณ์นี้ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย (ความน่าจะเป็น 10%)
สถานการณ์ที่ 2: ไทยต้องเผชิญภาษี 15-20% ในกรณีที่การเจรจาได้ผลบางส่วนแต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย GDP จะเติบโตเพียง 1.1-1.4% แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจ (ความน่าจะเป็น 60%)
สถานการณ์ที่ 3: ไทยต้องเผชิญภาษี 21-37% หากการเจรจาล้มเหลวและไทยต้องเผชิญกับภาษีในระดับสูง GDP อาจหดตัวที่ -1.1% ถึง +0.5% ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวอย่างรุนแรง การส่งออกคาดว่าจะลดลงเกิน 10% ในครึ่งปีหลังของปี 2025 (ความน่าจะเป็น 30%)
ทั้งนี้เราปรับประมาณการความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่ 3 ขึ้น เนื่องจากเรามองว่า แม้เวียดนามที่เป็นหุ้นส่วนการค้าและหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐ ยังถูกเก็บภาษีในอัตราสูง ฉะนั้น จึงเป็นไปได้ที่ไทยซึ่งมีระดับความสำคัญกับสหรัฐน้อยกว่า อาจถูกเก็บภาษีมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป โดยบางภาคจะเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่บางภาคอาจได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
ภาคเกษตรกรรม – ผลกระทบรุนแรงที่สุด: ภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดเนื่องจากปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรจากสหรัฐฯ ในระดับสูง เกษตรกรไทยจะต้องแข่งขันกับสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
•ข้าวโพด ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% หากยกเลิกภาษี เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศจะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าฟาร์มขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ คาดว่าการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว ส่งผลให้ราคาข้าวโพดในประเทศลดลง 15-25%
•ถั่วเหลือง ไทยเก็บภาษีนำเข้าถั่วเหลืองประมาณ 15-25% การยกเลิกภาษีจะส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และน้ำมันพืชได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง แต่เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในประเทศจะสูญเสียตลาด การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 500,000 ตันต่อปี เป็น 1.5-2 ล้านตันต่อปี
•เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์สัตว์ ปัจจุบันไทยห้ามนำเข้าเนื้อหมูสดจากสหรัฐฯ เนื่องจากปัญหาสาร ractopamine แต่หากมีการปรับ MRL (Maximum Residue Limits) การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในประเทศ ราคาเนื้อหมูในประเทศอาจลดลง 20-30%
•ผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ไทยเก็บภาษีนำเข้าผลไม้บางชนิดจากสหรัฐฯ ระดับ 30-50% โดยเฉพาะแอปเปิ้ล องุ่น และผลิตภัณฑ์แปรรูป การยกเลิกภาษีจะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง แต่เกษตรกรผู้ปลูกผลไม้เมืองหนาวในพื้นที่สูงจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาด
ภาคยานยนต์และชิ้นส่วน – การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่
•ภาคยานยนต์จะเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ ระดับ 60-80% สำหรับรถยนต์นั่งและ 25-40% สำหรับรถกระบะ
•รถยนต์ SUV และรถยนต์ขนาดใหญ่ สหรัฐฯ มีจุดแข็งในการผลิตรถยนต์ SUV และรถกระบะขนาดใหญ่ การยกเลิกภาษีจะทำให้รถยนต์อเมริกันเข้ามาแข่งขันได้มากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ Ford, Chevrolet และ Ram ที่มีฐานการผลิตในเม็กซิโก ราคารถยนต์ SUV ขนาดใหญ่อาจลดลง 30-40% ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยต้องปรับกลยุทธ์
•ชิ้นส่วนยานยนต์เทคโนโลยีสูง ไทยเก็บภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากสหรัฐฯ ระดับ 15-25% การยกเลิกภาษีจะช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบความปลอดภัย (ADAS) เครื่องยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ในราคาที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม EV ของไทย
•ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย โดยเฉพาะ Tier 2 และ Tier 3 suppliers จะต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากชิ้นส่วนอเมริกัน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจได้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับแบรนด์อเมริกัน






































