วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกHighlightนโยบายลดราคาน้ำมัน‘กระทบ OR น้อย’ ยังมีรายได้ผลิตภัณฑ์อื่น-ตั้งเป้าโต 10%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

นโยบายลดราคาน้ำมัน‘กระทบ OR น้อย’ ยังมีรายได้ผลิตภัณฑ์อื่น-ตั้งเป้าโต 10%

“ดิษทัต” CEO OR ย้ำนโยบายรัฐบาลลดราคาน้ำมัน OR ได้รับผลกระทบน้อย เพราะ “พีทีที สเตชั่น” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่ทุกอย่างของ OR เพราะบริษัทฯยังมีรายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาเสริม วางเป้ากำไรเติบโตปีละ 10%

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐในเรื่องการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนโดยการลดราคาน้ำมันลงนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งมีผลกระทบต่อ OR น้อยมาก เพราะ OR เราเป็นผู้ซื้อมา-ขายไป โดยพอร์ตขายน้ำมันผ่านสถานีพีทีที สเตชั่น คิดเป็นสัดส่วนของกำไรราว 30% ของกำไรสุทธิ ในขณะที่ค่าการตลาดก็อยู่ในกรอบของภาครัฐมาโดยตลอด คือไม่เกิน 2 บาท/ลิตร นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ยังขยายตัวได้ดี เช่น น้ำมันหล่อลื่น, น้ำมันอากาศยาน ที่ OR ก็สามารถชิงยอดขายกลับมาเป็นอันดับ 1 ได้แล้ว

นายดิษทัต กล่าวต่อว่า หากเทียบในสัดส่วนยอดขายในธุรกิจค้าปลีกผ่านสถานีบริการน้ำมัน OR จะมีสัดส่วนยอดขาย 55% ของธุรกิจ Mobility ที่เหลืออีก 45% เป็นการค้าน้ำมันอื่นๆ ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น, น้ำมันอากาศยาน, น้ำมันเดินเรือ, น้ำมันจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ทั้งอุตสาหกรรมและราชการ, แอลพีจี และผลิตภัณฑ์พิเศษ เช่น ยางมะตอย ซึ่งที่ผ่านมา พบว่ายอดขายกลุ่มนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐและยังเติบโตอยู่ โดยธุรกิจของ OR มี 4 ด้าน คือ Mobility, Lifestyle, Global และ Innovation ดังนั้นคาดหมายว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือมีกำไรเติบโตในภาวะปกติปีละ 10% ซึ่งในไตรมาส 3 นี้ OR ยังคงรักษากำไรตามทิศทางที่กำหนดไว้ โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2566 OR มีกำไร 5,732 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 10,413 ล้านบาท เป็นเพราะปี 2565 มีกำไรขั้นต้นเฉลี่ยสูงกว่าปกติ จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวนจากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งหากเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจเดียวกัน ก็จะเห็นได้ว่า ปีนี้มีกำไรลดลงในทิศทางเดียวกัน แต่ OR ยังแข็งแกร่ง ทำกำไรได้ดี

“พีทีที สเตชั่น ไม่ใช่ทุกอย่างของ OR แต่เป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจ จึงไม่อยากให้โฟกัสแค่ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น และแม้ว่านโยบายของภาครัฐจะกระทบต่อผลประกอบการของพีทีที สเตชั่น บ้าง แต่ถือว่าน้อยมาก เพราะยังมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ”นายดิษทัต กล่าว

นายดิษทัต อธิบายด้วยว่า กรณีที่ภาครัฐกำหนดค่าการตลาดน้ำมันไม่เกิน 2 บาทต่อลิตรนั้น ที่ผ่านมาค่าการตลาดของ OR เฉลี่ยอยู่ที่ 1.60-1.70 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ตัวเลขค่าการตลาดที่อ้างอิงในเว็บไซต์ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ที่ดูว่าสูง และแตกต่างจากการคำนวณของผู้ค้าน้ำมัน เนื่องจากมีการอ้างอิงการคำนวนที่แตกต่างกัน โดยของผู้ค้าน้ำมัน คำนวณจากต้นทุนจริง ที่ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมัน ด้วยค่ากำมะถันไม่เกิน 50 ppm (EURO4 ) แต่ของ สนพ.เป็นการคำนวณจากค่าเฉลี่ยของน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ ที่ไม่มีราคา 50 ppm โดยอ้างอิงค่าเฉลี่ยน้ำมัน 500 ppm และ 10 ppm (EURO5) ทำให้ค่าการตลาดของ สนพ.สูงกว่าผู้ค้าน้ำมันราว 1.20-1.30 บาทต่อลิตร เช่น ค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของ สนพ.อ้างอิงที่สูงถึง 3.10-3.30 บาทต่อลิตร แต่ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันจะอยู่ที่ 1.90-2.00 บาทเท่านั้น แต่ปัญหานี้จะหมดไป เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะใช้น้ำมันมาตรฐาน EURO 5 ทำให้ สนพ.และผู้ค้าน้ำมัน จะใช้มาตรฐานอ้างอิงเดียวกัน คือที่กำมะถันไม่เกิน 10 ppm

สำหรับกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปนั้น นายดิษทัต กล่าวว่า OR คงต้องดูรายละเอียดว่า ภาครัฐจะมีแนวทางเพิ่มเติมอย่างไร เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยก็มีนำเข้าน้ำมันเป็นเสรีอยู่แล้ว ภายใต้ข้อกำหนดมาตรฐานน้ำมันของไทย ซึ่งมีรายละเอียดมาตรฐานที่สูงกว่าหลายประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้นด้วย โดยจะเห็นได้ว่า แม้แต่เชลล์ที่มีโรงกลั่นน้ำมันในสิงคโปร์ ยังไม่นำเข้ามาเลย แต่ซื้อจากโรงกลั่นน้ำมันในไทย แต่โรงกลั่นในไทยมีการผลิตน้ำมันกลุ่มเบนซินไม่เพียงพอ ทำให้ OR ต้องมีการนำเข้าเป็นครั้งคราว ซึ่งพบว่า มีต้นทุนสูงกว่าการซื้อจากโรงกลั่นในประเทศราว 1 บาทต่อลิตร คาดว่าไตรมาสที่ 4/66 OR ต้องมีการนำเข้ากลุ่มเบนซินราว 50 ล้านลิตร

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img