วันเสาร์, กรกฎาคม 27, 2024
หน้าแรกHighlight3 ค่ายรถอีวีเดินหน้าทำตลาด EV 3.5
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

3 ค่ายรถอีวีเดินหน้าทำตลาด EV 3.5

“กรมสรรพสามิต” ลงนามร่วมกับ 3 ค่ายรถอีวี “ฉางอาน-เอ็มจี-เกรทวอลล์” เดินหน้า EV 3.5 พร้อมนำงบประมาณ 10,000 ล้านบาทจ่ายอุดหนุนผู้บริโภค

นายภาคภูมิ ตันธนศรีกุล เลขานุการกรม ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในวันนี้ (18 ม.ค.) ได้มีการลงนาม MOU กับค่ายรถยนต์อีวี 3 บริษัท ประกอบด้วยบริษัท บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) และบริษัท เกรทวอลล์ มอเตอร์ เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 จากเดิมที่เข้าร่วม EV 3.0 มาก่อนแล้ว โดยรถที่นำเข้า่มาบางส่วนที่ยังขายไม่หมด หรือรถรถรุ่นที่นำเข้ามาขายภายใต้ EV 3.5 ก็สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องแจ้งรุ่นและราคาให้ชัดเจน

สำหรับโครงการ EV 3.0 ที่ผ่านมา มีค่ายรถยนต์นั่งที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 12 ราย และการเข้าโครงการ EV 3.5 น่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยปีงบประมาณ 67 นี้ กรมจะได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับอุดหนุนในโครงการนี้ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ 3,000 ล้านบาท และอีก 7,000 ล้านบาทจะมาจากงบฯ กลาง

อย่างไรก็ตาม การให้การส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ล่าสุดมีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle หรือ BEV จำนวน 17 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 39,579 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ส่วนกิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวน 39 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 16,055 ล้านบาท และกิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าจำนวน 12 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 5,106 ล้านบาท

ททั้งนี้กรมสรรพสามิตได้เตรียมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค ตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 คิดเป็นกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 675,000 คัน

ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่นี้เพิ่มเติมได้ และผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมสรรพสามิต ดังนี้

1. รถยนต์นั่ง (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

1.1 สิทธิเงินอุดหนุน

1) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kWh แต่น้อยกว่า 50 kWh

1.1) ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน

1.2) ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาทต่อคัน

1.3) ปี 2569-2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 25,000 บาทต่อคัน (เฉพาะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น)

2) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 50 kWh  ขึ้นไป

2.1) ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อคัน

2.2) ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 75,000  บาทต่อคัน

2.3) ปี 2569-2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน (เฉพาะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น)

1.2 สิทธิลดอัตราอากรขาเข้าไม่เกิน  40% (สำหรับรถที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2567-2568)

1.3 สิทธิลดภาษีสรรพสามิตจาก 8 % เหลือ 2% ในปี 2567-2570

2.รถยนต์นั่ง (ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh  ขึ้นไป จะได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2

 3.รถกระบะ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh  ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 0 ในปี 2567 – 2568 และอัตราภาษีร้อยละ 2 ในปี 2569 – 2570

4.รถจักรยานยนต์ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 150,000 บาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh  ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 1 ในปี 2567 – 2570

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ ต้องผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 ของจำนวนนำเข้าในช่วงปี 2567-2568 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) หรือผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2570 ในอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 3 คัน) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ และผลักดันไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

สำหรับแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.ต้องยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับสิทธิฯ และมีการทำข้อตกลง (MOU) ให้เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3.5 ร่วมกับกรมสรรพสามิต

2.เมื่อได้รับการอนุมัติสิทธิแล้ว ผู้ขอใช้สิทธิจะต้องได้รับอนุมัติราคาขายปลีกแนะนำและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติยานยนต์ไฟฟ้าก่อนเริ่มขายรถรุ่นนั้น ๆ

3.กรณีนำเข้า ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามข้อ 1 และ 2 ให้แล้วเสร็จก่อนการนำเข้า จึงจะสามารถนำ ยานยนต์ไฟฟ้ามาขอรับสิทธิทางภาษีได้

4.การขอรับเงินอุดหนุนหลังจากการจำหน่ายและจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด

5.สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเงื่อนไขการผลิตชดเชย บทลงโทษ ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ตามมาตรการ EV3.5 ให้เป็นไปตามที่กรมสรรพสามิตกำหนด

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่เคยได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และประสงค์ที่นำยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมารับสิทธิตามมาตรการ EV3.5 สามารถกระทำได้ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้

1.ผู้ขอรับสิทธิต้องยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับสิทธิฯ และมีการทำข้อตกลง (MOU) เพื่อเป็นผู้ได้สิทธิตามมาตรการ EV3.5 และต้องได้รับอนุมัติราคาขายปลีกแนะนำและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติยานยนต์ไฟฟ้าที่ก่อนเริ่มจำหน่าย

2.หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ผู้ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 ต้องยื่นหนังสือเพื่อแจ้งจำนวนคงเหลือของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตาม EV3 แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ให้กรมสรรพสามิตทราบ ก่อนลงนามข้อตกลง EV 3.5 กับกรมสรรพสามิต

3.ยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตาม EV3 แต่ประสงค์จะนำมาเข้าร่วมมมาตรการ EV 3.5 จะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีตามมาตรการ EV3 แต่เงินอุดหนุนและเงื่อนไขการผลิตชดเชย ตลอดจนบทลงโทษ และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามมาตรการ EV3.5

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่เคยได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31ธันวาคม 2566 และไม่ประสงค์ที่นำยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมารับสิทธิตามมาตรการ EV3.5 ต่อ จะยังคงมีภาระในการผลิตชดเชยการนำเข้าตามเงื่อนไขของมาตรการ EV3 โดยไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV3 ไปสู่ EV3.5 เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ภาครัฐกำหนด กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ข้อปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนมาตรการ EV 3.5 ในทุก ๆ ด้าน เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล และตามยุทธศาสตร์กรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img