NEX มั่นใจปี 64 พลิกเป็นกำไร หลังขาดทุนมาตั้งแต่ปี 61 ทยอยส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 500 คัน ส่วนในปี 65 การันตีรายได้เติบโต 100% เดินเครื่องโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มกำลัง 6,000 คันเจาะกลุ่มรถขนส่ง บขส. ขสมก. และรถร่วม
นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จากนี้ไปจะเติบโตขึ้นเลื่อยๆ ในระยะ 5 ปี คาดว่า กำลังการผลิตรถยนต์สันดาป หรือ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะลดลง และในระยะ 10 ปี คาดว่า การจะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 100% เนื่องจากทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน
ขณะที่ประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30/30 คือการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ.2573
อย่างไรก็ตามการจะให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็อาจจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาสนับสนุนภาคเอกชน ขณะเดียวกันภาครัฐก็อาจจะส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะบังคับใช้ในแต่ละหน่วยงานให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ผลงานปี 2564 เทิร์นอะราวด์
นายคณิสสร์ กล่าวว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยมั่นใจว่าจะกลับมาพลิกเป็นกำไรได้ จากที่ขาดทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 ที่ขาดทุนสุทธิ 55 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 146 ล้านบาท ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 213 ล้านบาท ส่วนสิ้นงบไตรมาส 2/2564 นั้นยังขาดทุนสุทธิอยู่ 70 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปีนี้กลับมามีกำไรนั้น เนื่องจากบริษัทได้ทยอยส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 500 คันภายในปีนี้ ซึ่งล่าสุดได้ส่งมอบให้กับรถร่วม ขสมก.แล้ว 120 คัน
ส่วนในปี 2565 มั่นใจว่าจะได้รับคำสั่งซื้อ (Order) รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐได้ส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ขณะที่เอกชนก็สนใจเปลี่ยนมาใช้รถยนไฟฟ้ามากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ใช้สำหรับขนส่งตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปมีประมาณ 40,000 คันต่อปีที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ ขณะที่รถเมล์ร่วม บขส. ที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ประมาณ 6,000 คันต่อปี ยังไม่นับรถเมล์ของ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ซึ่งก็มีแผนจะเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ไฟฟ้าเช่นกัน
ขณะที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ก็มีแผนจะเปลี่ยนรถเมล์ประมาณ 3,000 คันมาเป็นรถเมล์ไฟฟ้า ดังนั้นในปี 2565 NEX จึงมีโอกาสที่จะได้รับออเดอร์ในจำนวนนี้ ซึ่งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ NEX ที่ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มกำลังการผลิต 2 กะได้จำนวน 6,000 คันต่อปี NEX จึงมั่นใจว่าในปี 2565 จะมีรายได้เติบโต 100% หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท
ทั้งนี้โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดย NEX ที่ลงทุนในสัดส่วน 45 % กับ EA ในสัดส่วน 55% นั้นส่วนใหญ่จะเจาะกลุ่มรถยนต์เพื่อเชิงพาณิชย์ เช่น รถขนส่ง รถเมล์ รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น เฉลี่ยราคา 6 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 12-20% ต่อหน่วย ขณะที่ประสิทธิภาพในการวิ่งนั่นได้ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อคัน ขณะที่การผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลนั้นคงเป็นแผนในระยะยาว เพราะต้องรอให้เป็นที่นิยมใช้มากขึ้นก่อน
ส่วนเงินลงทุนในปี 2565 นั้นคงใช้เงินลงทุนไม่มาก เนื่องจากยังไม่ต้องลงทุนขยายโรงงานผลิต โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท สำหรับการลงทุนวิจัย และพัฒนาขบวนการผลิต เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น