วันเสาร์, พฤศจิกายน 30, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightสัปดาห์หน้า‘บิ๊กโจ๊ก’ฟ้อง‘เศรษฐา-ก.ตร.’ พ้อถูกรังแก-ชี้คำพูด‘นายก’แค่วาทกรรม
- Advertisment -spot_imgspot_img

สัปดาห์หน้า‘บิ๊กโจ๊ก’ฟ้อง‘เศรษฐา-ก.ตร.’ พ้อถูกรังแก-ชี้คำพูด‘นายก’แค่วาทกรรม

‘บิ๊กโจ๊ก’ ลั่นคำพูดนายกฯจะให้ความเป็นธรรม เป็นแค่วาทกรรม จ่อฟ้อง “เศรษฐา” พร้อม “ก.ตร.” ยกคณะ สัปดาห์หน้า เหตุรับรองมติอนุฯวินัย คำสั่งให้ออกจากราชการชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.67 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาตอบโต้มติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่เห็นชอบคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมาย ว่า ไม่ผิดความคาดหมาย เพราะตนเป็นรองผบ.ตร. รู้วิธีการทำงานของตำรวจ และเลขานุการ ก.ตร. ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นมติ 12 ต่อ 0 ดังนั้นมติอาจเป็นเพียงการรับทราบเท่านั้น และให้รอผลวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ก็ได้ อีกทั้งคณะอนุกรรมการวินัย ก.ตร. ก็ล้วนแต่เป็นตำรวจ อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะมีใครกล้าลงมติ ว่าผู้บังคับบัญชาผิด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ระบุว่า คณะอนุกรรมการวินัย ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจ ว่าถูกหรือผิด มีอำนาจแค่พิจารณาว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจสั่งการหรือไม่เท่านั้น ส่วนที่อ้างว่าก่อนหน้านี้ มีอนุกรรมการร้องทุกข์ที่สามารถพิจารณาเรื่องคุณและโทษของตำรวจได้นั้น ปัจจุบันได้ถูกยุบไปแล้ว และมี ก.พ.ค.ตร. เข้ามาแทนที่ ให้ความเป็นธรรมกับเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจ ซึ่งเทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น ดังนั้นหลังจากนี้ หากผลวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ออกมาเป็นโทษกับตนเอง ตนเองก็จะนำผลไปร้องศาลปกครองสูงสุดต่อไป

ส่วนมติ ก.ตร. ที่ออกมาจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของ ก.พ.ค.ตร.หรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่ได้กดดัน เพราะทุกอย่างต้องพิจารณาตามกฎหมายและพ.ร.บ.ตำรวจ ส่วนที่มีคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตนเอง อีกฝ่ายก็ได้สละสิทธิไปแล้ว ทำให้ตอนนี้เหลือคณะกรรมการแค่ 6 คนในการพิจารณา จึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ และตนก็ยังเชื่อมั่นใน ก.พ.ค.ตร. ว่าจะให้ความเป็นธรรม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และประธาน ก.ตร. ที่ก่อนหน้านี้มีหนังสือถึงตน บอกว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่กลับไม่นำความกราบบังคมทูลฯ และโยนให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ก่อนส่งเรื่องกลับไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์ แต่ต่อมา กลับมานั่งเป็นประธานการประชุม ก.ตร. เมื่อวานนี้ และยังรับรองมติอนุกรรมการวินัยที่เห็นชอบว่าคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่มีการทักท้วง ดังนั้นถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว เพราะหากคำสั่งเห็นชอบด้วยกฎหมายจริง เหตุใดก่อนหน้านี้ นายเศรษฐาจึงไม่นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ด้วยเหตุนี้ตนจึงเตรียมฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ก.ตร. ทั้งคณะ รวม 12 คน ในช่วงสัปดาห์หน้า

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า จะให้ความเป็นธรรมกับตน โดยให้รอผล ก.พ.ค.ตร. ใน 30 วันนั้น ไม่ใช่ว่าคนไม่เชื่อ แต่มองว่าเป็นเพียงวาทกรรม เพราะในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ และความผิดของนายกรัฐมนตรีถือว่าสำเร็จแล้วอยู่ดี

ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ควรฟ้องนายกรัฐมนตรีนั้น พล.สุรเชษฐ์มองว่า ตนก็ยังนับถือนายวิษณุอยู่ แต่ตนก็ต้องรักษาสิทธิของตน เพื่อความชอบธรรม และยืนยันไม่ได้ต้องทะเลาะกับใคร รวมกรณีที่พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาติงตนนั้น ตนไม่ว่า หากพล.ต.อ.วินัยต้องการจะแฉ ก็แฉเลย แต่ต้องพูดให้หมด และเข้าใจให้ตรงประเด็นว่า ตนฟ้องอีกฝ่ายในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนอีกฝ่ายจะตรวจสอบข้อเท็จจริง พบอะไรก็ว่าไป แต่ไม่มีสิทธิ์วินิจฉัยคดี เพราะไม่ใช่ศาล

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวยืนยันว่า ตนไม่ได้ต้องการทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา แต่ขอถามกลับว่า ทำไมตนถึงถูกรังแกมาทั้งชีวิต เพราะว่าตนมีอายุราชการเหลือหลายปี เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 และทำงานตรงใจประชาชนหรือไม่ ถ้าอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี ก็คงไม่เป็นปัญหา

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img