มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยืนยันปีนี้ “น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 54” แต่ห้ามประมาท ชี้สิ่งที่จะทำให้กทม.ท่วมคือน้ำทำลายคันกั้นน้ำป่าสัก
เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ร.ศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ รองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยถึงความแตกต่างของสถานการณ์น้ำท่วมนี้และปี 54 ว่า อดีตที่ผ่านมาเรามองไปที่ปี 54 เราก็ต้องดูข้อมูลยอมรับในข้อเท็จจริงว่า แน่นอนว่าปริมาณน้ำเหนือมีน้อยกว่า เพราะว่าฝนตกในภาคเหนือน้อยกว่านั่นคือความต่าง
แต่บนความต่างมันมีความเหนืออยู่ คือฝนในภาคกลาง ฝนในภาคกลางตอนนี้ข้อมูลเดือนก.ย.ฝนตกมากกว่าประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ค่าเฉลี่ย มันใกล้เคียงกับปี 54 และเรายังไม่ได้นับเดือนตุลาคม ตนคิดว่าฝนตกในภาคกลางมีความคล้ายในเชิงปริมาณ
นอกจากนี้ระดับในบางจุดมันใกล้แล้ว มันแตะแล้ว ตนจะให้คิดตามอย่างนี้ว่า สมมุติเรามีแก้วน้ำใบหนึ่ง แล้วเราก็เอากาน้ำ นอกจากมีน้ำมาใส่ สมมุติว่าใส่ได้เต็มแก้วพอดีต่อมาอีก 10 ปีในแก้วใบนั้นก็ใส่น้ำแข็งลงไปทีละก้อน และเอาน้ำในกาเทอีกเท่าปี 54 ถามว่าเวลาเทไปไม่ต้องปี 54 มันก็ท่วมแก้ว เพราะเราใส่น้ำแข็งไป น้ำที่เหลือพูดง่ายๆ คือน้ำที่เหลือจากปี 54 ได้แสดงให้เห็นว่า น้ำท่วมจะท่วมหนักเท่าปี 54 ไม่จำเป็นต้องมีปริมาณน้ำเท่ากับปี 54 นี่คือปรากฏการณ์ที่มันเปลี่ยนไป อย่าให้ความสำคัญน้ำเหนือมากจนเกินไป จนลืมไปเพราะน้ำระดับน้ำมันแตะแล้ว ระดับน้ำเป็นตัวสำคัญ
เมื่อระดับน้ำขึ้นมาจุดหนึ่ง แตะระดับปี 54หรือล้นคันจะมีแรงดันเข้ามา ถามว่าทำไมคันอ่างทองทำไมทยอยแตก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องไม่ละเลย
ร.ศ.ดร.เสรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสำหรับพายุลูกต่อไป ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากความแปรปรวน ทำให้ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเข้าหรือไม่ แต่แน่นอนเขาบอกว่าเกิดเพราะ วันที่ 18-19 ต.ค.มาทะเลจีนใต้แน่ แต่จะเข้ามาในไทยหรือไม่ยังไม่แน่ ทั้งนี้ในส่วนของกทม.คิดว่ากทม.ฝั่งซ้ายไม่น่ามีปัญหา แต่ที่ห่วงคือดอนเมือง สายไหม
คือประเด็นเดียวที่จะเกิดเหตุการณ์ปี 54 ที่เข้ามาได้คือน้ำทำลายคันกั้นน้ำป่าสัก เราไม่รู้สถานภาพ เพราะว่าคันกั้นน้ำป่าสักทยอยปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นป่าสักมีปริมาตรน้ำ 108 เปอร์เซ็นต์ ถึงจุดหนึ่งเราไม่รู้ ต้องตรวจสอบว่าเข้มแข็งแค่ไหน ถามว่าทำไมป่าสักมีผลกับเรา นั่นก็คือถ้าป่าสักแตกก็หลากเข้ามา ทางฝั่งตะวันออกเลย มาทางฝั่งคลองรังสิต คลองเปรม ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็ต้องระมัดระวัง
ส่วนกทม.ฝั่งตะวันตก ถ้าข้ามถนนที่ทางปทุมธานี สามโคกเมื่อไหร่หายนะมาแล้ว สำหรับคนกทม.ควรต้องทำอย่างไร ก็ต้องระวังเรื่องน้ำรอระบายก่อน ไม่มีใครบอกได้ว่าจะมาเมื่อไร ต้องติดตามสถานการณ์ฟ้าฝนเป็นอย่างไร
ด้านเพจ “มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ” โพสต์ข้อความจาก นายนพดล มากทอง โฆษกมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ถึงสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมในปี 54 และ ปี 64 แตกต่างกันอย่างไร ยืนยันปีนี้ “น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 54” แต่ห้ามประมาท ทางเพจระบุว่า “ขอพูดหน่อยเถอะ เวลานี้ เหล่าผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วม เห็นพ้องต้องกันว่า ปีนี้น้ำจะไม่ท่วมใหญ่เหมือนปี 54 มีข้อมูลเปรียบเทียบยืนยัน !!!
ผมเห็นด้วยกับข้อมูลเหล่านี้ แต่น้ำท่วมปีนี้ มีหลายมิติที่ต่างไปจากปี 54 !!! ตั้งแต่ต้นปีถึงกลางเดือนก.ย. 64 ประเทศไทยอยู่ในภาวะน้ำน้อย ลุ่มเจ้าพระยา แม่น้ำยมแห้งขอด แต่จู่ๆ น้ำก็ท่วมจังหวัดสุโขทัย ท่วมเพราะน้ำระบายลงแม่น้ำยมไม่ได้ ต่างจากปี 54 โดยสิ้นเชิง !!!
ลำเชียงไกร นครราชสีมา ก่อนหน้านี้ไม่มีน้ำสักหยด แต่น้ำกลับมาเต็มอ่างนานนับสัปดาห์ จนพายุ “เตี้ยนหมู่” เข้ามาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่ก็อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่มีข้อมูลในปี 54 ชัยภูมิ มีรถยนต์แล่นผ่าน ท่วมพรวดพราด เสมือนไร้สัญญาณเตือนภัย จนเกิดภัยซ้ำซ้อนที่รพ.บำเหน็จณรงค์ อันนี้ปี 54 ก็ไม่มีข้อมูลบันทึก !!!
ท่านทั้งหลาย ก่อนหน้านี้ มีกรณีนิคมอุตสาหกรรมบางปู น้ำท่วมเมืองพัทยา ท่วมองค์พระปฐมเจดีย์ และอีกหลายต่อหลายที่ เป็นข้อมูลว่า น้ำท่วมปีนี้ไม่เท่า แต่ต่างไปจากปี 54 ท่านทั้งหลาย (พี่น้องประชาชน) ฟังข้อมูล ที่ยืนยันปีนี้ “น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 54” อาจจะรู้สึกดีมีพลังบวก แต่ในด้านกลับกัน ท่านทั้งหลายก็อย่าได้ประมาท !!!
ปี 2554 มีข้อมูลหนึ่งที่ท่านทั้งหลายอาจจะลืมไปแล้ว ก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ก็มีวาทะนี้ น้ำจะไม่ท่วมหรอก ผู้คนพากันชะล่าใจ สุดท้ายก็เป็นดังเช่นข้อมูลที่เอามาเปรียบเทียบกัน สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนไป บริบทในประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ทางให้น้ำไป พื้นที่รับน้ำ ถนนหนทางสร้างขวางทางน้ำ ตัวการทำให้น้ำท่วมพัฒนาไวกว่า แผนรับมือป้องกัน พายุไม่ต้องเข้า ฝนไม่ต้องเท่ากับปี 54 หลังจากนี้น้ำก็จะท่วมกันอย่างนี้แหละ พี่น้องเอ๋ย !!!
ด้าน
