วันศุกร์, มิถุนายน 28, 2024
หน้าแรกNEWS“บิ๊กโจ๊ก”ลุยฟ้องดะ“บิ๊กต่อ-บิ๊กต่าย-บิ๊กเต่า-นายกฯ” หากไม่ได้กลับตร.
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“บิ๊กโจ๊ก”ลุยฟ้องดะ“บิ๊กต่อ-บิ๊กต่าย-บิ๊กเต่า-นายกฯ” หากไม่ได้กลับตร.

‘บิ๊กโจ๊ก’ ดับเครื่องชน เดินหน้าฟ้อง ‘บิ๊กต่อ-เต่า-ต่าย’ และ ‘นายกฯ’ หากไม่ได้กลับ สตช. ลั่นไม่ได้กลืนน้ำลายตัวเอง ใครไม่โดนกับตัวไม่รู้

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.67 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ตัวเองเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) กรณีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน กล่าวหาตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาศาลตามนัดไต่สวนมูลฟ้อง เบื้องต้นทราบว่า ฝั่งของพล.ต.ต.จรูญเกียติ ขอเลื่อนการนัดไต่สวน คาดว่าจะมาไต่สวนในครั้งหน้า ส่วนที่มีการจงใจใส่ความหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณานั้น เนื่องจากผู้ถูกฟ้องได้นำข้อมูลซึ่งอยู่ในสำนวนไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ทั้งที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติมีหน้าที่เป็นเพียงพนักงานสอบสวน สิ่งที่ทำได้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 คือการรวบรวมข้อมูล และส่งสำนวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ได้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน รวมถึงแสดงความคิดเห็นเชิงวินิจฉัย หรือพิพากษาคดี

“โดยการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้สังคมเชื่อว่า ผมเป็นผู้กระทำผิดไปแล้ว จึงจำเป็นต้องยื่นฟ้องเพื่อ คืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง อีกทั้งที่ผ่านมาเคยมีคำวินิจฉัยของศาลฎีกา เคยสั่งจำคุกคดีที่มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือวินิจฉัยคดีชี้นำสังคมในลักษณะนี้มาแล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่มีการยอมความ หรือไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอน” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หากได้กลับเข้ามาสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะถอนฟ้องคดีความทั้งหมด แต่กลับยังเดินหน้าฟ้องพล.ต.ต.จรูญเกียรติ /พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ /และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมถึงนายเศรษฐา ทวีศิลป์ นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่การกลืนน้ำลาย แต่ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ยืนยันไม่ได้เล่นปาหี่ แต่ขณะนี้คำสั่งที่ให้ตนเองออกจากราชการ ซึ่งกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปดำเนินการแก้ไขนั้นยังคงอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รอให้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐดำเนินการแก้ไข ตั้งแต่ช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ ผบ.ตร.แล้ว แต่กลับยังเพิกเฉย ในวันนี้ (24 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. จึงจะเดินทางไปร้อง ป.ป.ช. เอาผิด มาตรา 157 กับพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เพราะคำสั่งดังกล่าว จะต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีพล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนก่อน ทำให้คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนกรณีพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่กลับเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว หากยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอำนาจ ก็จะเดินหน้าฟ้องร้องในสัปดาห์หน้าด้วย

ส่วนกูรูที่พยายามออกมาให้คำแนะนำข้อกฎหมายกับอนุฯ ก.ตร. ว่า คำสั่งของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐนั้นชอบด้วยกฎหมายนั้น ซึ่งขัดกับคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ซึ่งถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ตามหลักกฎหมานอนุฯ ก.ตร. ไม่มีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องทุกข์ แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ที่มีอำนาจใช้ระบบการไต่สวนฟังความทั้ง 2 ด้าน ไม่เหมือนอนุฯก.ตร. ที่ฟังความข้างเดียว จึงต้องไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ ก.พค.ตร. เพราะสามารถทำได้ 2 ช่องทางทั้ง ก.ตร. และ ก.พค.ตร. และเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ซึ่งมีอำนาจนำเรื่องเข้าที่ประชุมและพิจารณาได้ ว่า เห็นด้วยหรือไม่ได้ แต่หากนายกรัฐมนตรีเพิกเฉยในการพิจารณา ก็จะดำเนินคดี ม.157 กับนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน

ส่วนกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีมติ 10:0 ว่า คำสั่งเด้งให้ตัวเองออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมติดังกล่าวจะทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กลับมาทำหน้าที่ รองผบ.ตร.เลยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ส่วนตัวไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ เพราะถือเป็นศาลปกครองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีอำนาจชี้ว่าจะให้กลับไปทำหน้าเลยได้หรือไม่ แม้ว่าผลของกฤษฎีกา จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่กฤษฎีกาถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาในคดีอื่นๆ ศาลก็รับฟังความเห็นของกฤษฎีกา อย่าลืมว่า องค์คณะกรรมการกฤษฎีกามีใครบ้าง มีทั้ง อดีตประธานศาลฎีกา / อดีตเลขากฤษฎีกา และปลัดกระทรวงยุติธรรม ฉะนั้นมติ 10:0 ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

ส่วนพล.ต.อสุรเชษฐ์ จะกลับเข้า ตร. เมื่อไหร่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะกลับหรือไม่นั้น ต้องว่าไปตามกฎหมาย “ถ้าวันนี้ยังให้ความยุติธรรมกับตัวเองไม่ได้ แล้วจะให้ความยุติธรรมกับตำรวจ และประชาชนได้อย่างไร”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลายฝ่ายมองว่า เรื่องการกลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีดีลให้ทุกคนกลับเข้ารับตำแหน่งเหมือนเดิมอยู่แล้ว และจบเหมือนละครแฮปปี้เอนดิ้งใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตนเองเป็นคนที่ยึดตามหลักการแบบนี้มานานแล้ว เหมือนในอดีตที่เคยฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่ายึดหลักยุติธรรม ซึ่งครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ตัดแข้งตัดขา และสังคมก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้อนถามกลับว่า ทำไมถึงไม่เพิกถอนคำสั่งออกจากข้าราชการเสียที ปล่อยให้เป็น รอง ผบ.ตร. ลอยไปลอยมาแบบนี้ ตามหลักแล้ว สามารถเข้าประชุม ก.ตร. ได้ แต่ไม่เลือกที่จะทำเพราะถือเป็นการให้เกียรติ พร้อมยืนยันว่า ตนเองยังมีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร. อยู่ หากตนเองได้กลับไป จะไปดูคำสั่งให้ออกจากราชการที่มีตำรวจถูกสั่งให้ออกราชการ 70-80 นาย ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นธรรมหรือไม่

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้บอกว่า หากส่งทั้งคู่กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหวังว่าจะปรองดองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรใหญ่ จะปรองดองหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ ซึ่งนายกฯ จะต้องเดินหน้า ปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ลอยตัว ถ้านายกฯ ไม่ตัดสินใจ องค์กรก็จะอยู่ไปแบบนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้นำส่วนที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ ออกมาแถลงแทนนายกฯ ในคำสั่งย้ายกลับ ผบ.ตร. จะถือเป็นการลอยตัวของนายกฯ หรือไม่ นั้น นายกฯ จะต้องทำหน้าที่ ถ้าท่านไม่ลอยตัวและตัดสินใจทุกอย่างก็จะไม่เกิด ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวง ฉะนั้นนายกฯ ก็เปรียบเหมือนรัฐมนตรีประจำกระทรวง เมื่อมีปัญหาจะต้องลงมาแก้ไข

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img