“โรม” ฉะแหลก “ผบ.ตร.” ไบโพลาร์-บริหารล้มเหลว ปมสั่งชะลอ “พ.ร.บ.อุ้มหาย” อ้างไม่พร้อม ตะเพิดลาออกพ้นสตช.ให้คนพร้อมมาทำงานแทน
วันที่ 12 ม.ค.66 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.สบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในหนังสือขอให้มีการชะลอในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการอุ้มหายและการซ้อมทรมาน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้มีการผ่านสภาผู้แทนราษฎรหลายเดือนแล้ว และกฎหมายยังไม่ได้บังคับใช้ทันที เนื่องจากต้องรอประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีการกำหนดระยะเวลาเอาไว้เพื่อให้หน่วยงานราชการได้เตรียมตัว แต่ข้อกังวลหลักของสตช. ที่เกรงว่าจะดำเนินการไม่ได้ คือกระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหา ที่บังคับให้ติดกล้องบันทึกภาพไว้ เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าเป็นการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการซ้อมทรมาน ทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหลายๆ ประเทศ หากกลับมาดูที่ประเทศของเราที่ผ่านมาก็มีหลายกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการซ้อมทรมาน หรือเป้นการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตราฐานของสากล
“เจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ดี ซึ่งเราได้ให้เวลากับ สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากเพียงพอ แต่ผบ.ตร. กลับบอกว่า ถ้าจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีการจัดซื้อกล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวนมาก แล้วต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ 2 แสนนาย ระยะเวลาเท่านี้ไม่เพียงพอ จึงต้องการให้มีการชะลอออกไปก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าการเลื่อนครั้งนี้ ผบ.ตร.คงหมายถึงให้ใช้พระราชกฤษฎีกา ในการเลื่อนบังคับใช้ตัวพระราชบัญญัติดังกล่าวออกไป ซึ่งในความเห็นตนไม่สามารถทำได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2565 อนุกรรมาธิการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญตัวแทน สตช. โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาชี้แจง และได้ย้ำว่า สตช. มีความพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ แม้ความไม่พร้อมของอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ยังไม่พร้อมแต่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำตามกฎหมายฉบับนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ตอบชัดเจนว่าสามารถปฏิบัติตามได้ หากมีข้อขัดข้องใดก็ใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพแก้ปัญหาไปก่อน หรือหากจำเป็นต้องซื้อกล้องจริง ก็สามารถเบิกงบกลางมาใช้ก่อนได้แต่วันที่ 6 ม.ค.2566 กลับทำหนังสือถึงรมต.ยุติธรรม ว่าไม่พร้อม
“ตกลงท่านเป็นไบโพลาร์หรือเอาอย่างไรกันแน่ รอง ผบ.ตร.เป็นตัวแทนมาชี้แจงต่ออนุกรรมาธิการ ท่านบอกอย่างชัดเจนว่าพร้อม แล้วเราก็ให้คำแนะนำไปด้วยว่าใช้งบกลางได้ แต่พอมาเวลานี้ท่านกลับทำหนังสืออีกแบบหนึ่ง ผมเขื่อว่าภายใต้การบริหารงานของผบ.ตร.คนปัจจุบัน ล้มเหลวถึงที่สุด ทั้งเรื่องการปรามปราบอาชญากรรม ทุนจีนสีเทาก็ปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และกับการทำตามกฎหมายที่สภาฯออกมายังทำไมได้แล้วจะเป็นผบ.ตร.ไปทำไม “นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ อย่าใช้วิชามาร ออก พ.ร.ก.เพื่อเลื่อนกฎหมายฉบับนี้ออกไป ประชาขนยังรออยู่ ซึ่งประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก การกระทำเช่นนี้จึงถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเปรียบเหมือนไร้กระดูกสันหลังต่อสายตาต่างประเทศ ที่ออกกฎหมายที่ดีมาแต่ไม่บังคับใช้ เท่าที่ตนได้สำรวจใน สน.หลายแห่ง ก็เริ่มมีความพร้อมสำหรับการบังคับใช้กฎหมายนี้แล้ว แต่คนแรกที่บอกว่าไม่พร้อมก็คือ ผบ.ตร.เอง ตนเห็นว่าถ้าไม่พร้อมก็ควรออกไป เพราะมีคนอื่นที่พร้อมกว่า