วันศุกร์, พฤษภาคม 17, 2024
หน้าแรกHighlight“สธ.”รับเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากแอสตร้าฯ ในไทยพบผู้ป่วยแล้ว7คน-เสียชีวิต2ราย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สธ.”รับเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากแอสตร้าฯ ในไทยพบผู้ป่วยแล้ว7คน-เสียชีวิต2ราย

“อธิบดีคร.” แจง “ลิ่มเลือดอุดตัน” จากวัคซีนแอสตร้าฯเกิดขึ้นจริง หลังฉีด 5-42 วันเท่านั้น ไทยฉีดกว่า 20 ล้านคน จิ้มเข็มสุดท้าย มี.ค.66 พบลิ่มเลือด 7 คน เสียชีวิต 2 คน

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.67 นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดไวรัลเวคเตอร์ ของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า ที่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตว่า เรื่องของผลข้างเคียงจากวัคซีนแอสตร้าฯ เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย รับทราบมาก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเรามี คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องของการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่เหมาะสมอยู่

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ วัคซีนทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นแบบการใช้ในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Use) เพื่อยับยั้งการระบาดของโรค ซึ่งวัคซีนตัวแรกที่ใช้คือ วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวก ขณะที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป ไม่ยอมรับวัคซีนดังกล่าว จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯเท่านั้น ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่วนวัคซีน mRNA ก็ยังไม่ได้มีการผลิตออกมาใช้

“ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯทั้งหมด 48 ล้านโดส โดย 1 คน ฉีด 2 โดส ดังนั้นมีผู้รับวัคซีนประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเข็มสุดท้ายที่ฉีดคือเมื่อเดือนมี.ค.66 ขณะที่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ จะเกิดขึ้นหลังการรับวัคซีน 5-42 วันเท่านั้น หากภาวะลิ่มเลือดอุดตันเกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่น่าจะใช่อาการที่เกิดจากวัคซีน จึงขอให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯอย่ากังวล ซึ่งภาวะดังกล่าวหลังการฉีดวัคซีนนั้น เกิดขึ้นได้ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย ก็มีรายงานผู้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังการรับวัคซีนแอสตร้าฯ 23 ราย แต่คณะอนุกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พิจารณาแล้ว พบว่ามีผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันที่เข้าข่ายอาจเกิดจากวัคซีน 7 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย”นพ.ธงชัย กล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทยว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยช่วงก่อนหน้านี้ ดำเนินการภายใต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งขณะนั้นโรคโควิด-19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง การจัดหาวัคซีนจึงใช้งบประมาณของแผ่นดินและฉีดให้กับประชาชนฟรีเพื่อยับยั้งการระบาดของโรค อย่างไรก็ตามขณะนี้ สำหรับโรคโควิด-19 ในประเทศไทยถูกยกเลิกให้เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว อีกทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงไม่ได้มีการจัดสรรให้ฟรีประชาชน แต่ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา ว่าจะมีการฉีดให้กับ กลุ่มที่มีความจำเป็น ได้หรือไม่เช่น บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ยากไร้ ในลักษณะของความสมัครใจ เพราะอยากรู้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง ยังมีข้อมูลพบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด

“วัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นแบบ Emergency Use รัฐต้องจัดหามาฉีดให้กับประชาชน แต่ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายโรคโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายอีก การใช้วัคซีนจะต้องอยู่ในรูปแบบของวัคซีนในภาวะปกติคือจะต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านกระบวนการ ศึกษา ผลดีผลเสีย ผลกระทบต่างๆ และนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนใช้ กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนเพียงตัวเดียวที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติในประเทศไทยก็คือ วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” นพ.ธงชัย กล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานข่าวว่าวัคซีน mRNA มีผลกระทบ เกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกาย นพ.ธงชัย กล่าวว่า วัคซีนที่มีการนำเข้ามาใข้ก่อนหน้านี้ เป็นการใช้ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ก็มีผลกระทบ ผลข้างเคียง ตัวนี้ก็จะเจอผลกระทบมากแถวอเมริกา

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img