วันจันทร์, พฤษภาคม 20, 2024
หน้าแรกHighlightชัดเจน''เทพไท''ชี้รัฐบาลเศรษฐาฮั้วอำนาจ สัมปทานกระทรวง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ชัดเจน”เทพไท”ชี้รัฐบาลเศรษฐาฮั้วอำนาจ สัมปทานกระทรวง

”เทพไท”ซัดปรับครม.ทำให้เห็นชัดเจนกำลังฮั้วอำนาจ สัมปทานกระทรวงและแบ่งงานกระทรวงการคลังแบบบีบทางอ้อม

เมื่อวันที่  9 พ.ค.67 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กว่า  “รัฐบาล : ฮั้วอำนาจ สัมปทานกระทรวง”  ผลของการปรับครม.มีแรงกระเพื่อม คลื่นใต้น้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นอาฟเตอร์ช็อกหลังจากการปรับครม.อย่างเห็นได้ชัดแล้ว 2 กรณี คือ

1.การลดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ของนายปานปรีย์ มหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้เหลือเพียงตำแหน่งเดียว จนเกิดความไม่พอใจ จึงยื่นใบลาออกทันที หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ยังไม่ทันได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยซ้ำไป นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสการเมืองไทยที่รัฐมนตรีลาออกเร็วที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นการหักหน้านายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน

2.การยื่นใบลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ หลังจากการถวายสัตย์ปฏิญาณ และแบ่งงานในกระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งเห็นว่ายังรักษามารยาทและรักษาหน้านายกรัฐมนตรีระดับหนึ่ง ไม่ว่ากระแสข่าวสาเหตุของการลาออก เกิดจากการแบ่งงานในกระทรวงการคลัง แบบไม่ให้เกียรติกัน สุ่มหัวกันแบ่งงานกรมหลักๆให้แก่รัฐมนตรีพรรคเดียวกัน ทำเหมือนนายกฤษฎา เป็นรัฐมนตรีข้าวนอกนา ให้มีการดูแลสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เทียเท่ากรมหลักเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น

ถ้าหากพิจารณาการปรับครมในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะสัมปทานกระทรวงให้กับพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เช่นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นกระทรวงใหญ่มีกรมมากมาย ที่ผ่านมาเคยมีรัฐมนตรีมากถึง4-5คนด้วยซ้ำไป แต่ครั้งนี้กลับมีรัฐมนตรีเพียง2คน และอยู่ในสังกัดพรรคเดียวกัน สามารถแบ่งงานกันทำและบริหารงานกันอย่างสะดวกโยธินเช่นเดียวกันที่กระทรวง การคลัง มีความพยายามที่จะสัมปทานทั้งกระทรวงให้กับพรรคเพื่อไทย

แต่อาจจะเป็นเพราะกลุ่มทุนพลังงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคอนเน็คชั่นที่ดีกับผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย ได้เจรจาต่อรองให้นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ให้ยังคงอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังต่อไป จึงทำให้กระทรวงนี้มีรัฐมนตรีมากถึง4คน ทั้งที่ผ่านมามีรัฐมนตรีเพียง 2-3 คนเท่านั้น จึงใช้วิธีการแบ่งงานให้กรมหลักอยู่ในรัฐมนตรีสังกัดพรรคเพื่อไทยทั้งหมด และให้นายกฤษฎา ดูแลสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเท่านั้น

การแบ่งงานในลักษณะเช่นนี้ เหมือนเป็นการบีบทางอ้อม ไม่ให้เกียรติกัน จนนายกฤษฎา ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่านายเศรษฐาจะยับยั้งไม่ให้ลาออกก็ตาม แต่ทางการเมืองการแสดงเจตจำนงว่า ขอลาออกจากตำแหน่งแล้ว ย่อมมีผลในทันที ถ้าหากนายกฤษฎาเปลี่ยนใจไม่ลาออก ก็จะเสียหายทางการเมือง อาจจะถูกสังคมมีข้อครหาได้ว่า การยื่นใบลาออกเพื่อต่อรองทางการเมืองเท่านั้น

ต้องยอมรับความจริงว่าการเมืองยุคนี้ เป็นการเมืองที่ได้มาด้วยการซื้อเสียง เกือบทุกพรรคใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคดิ้นรนเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อหวังถอนทุนคืนและเตรียมสะสมทุนเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ากันทั้งนั้น จึงเห็นปรากฏการณ์ฮั้วอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลระหว่างระบอบทักษิณกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม และจนที่สุดมีการสัมปทานกระทรวงให้พรรคการเมืองดูแลยกกระทรวงกันไป เมื่อผลประโยชน์ลงตัว การเมืองก็จะเดินไปราบรื่น หวังที่จะอยู่ครบเทอมกันทุกพรรค

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img