เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคาราวะ’’อนุชา พร้อมส่งเสริมยกระดับความเป็นหุ้นส่วนของทั้งสองประเทศ
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร (H.E. Mr. Michael George DeSombre) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายอนุชา นาคาศัย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแนะนำตัวในโอกาสที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าดำรงตำแหน่ง และหารือประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวว่า ทางสหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะส่งเสริมและยกระดับความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันของทั้งสองประเทศ โดยมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมทางเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันบริษัทของสหรัฐฯ และไทยได้ทำธุรกิจร่วมกันมานานหลายทศวรรษ และมีบริษัทสหรัฐฯ หลายพันรายลงทุนอยู่ในประเทศไทย ช่วยสร้างความมั่งคั่งและเกิดการจ้างงานให้แก่ทั้งสองประเทศ
ขณะเดียวกันอยากให้รัฐบาลไทยพิจารณากฎกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การลงทุน เช่น แรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะแรงงานทักษะที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โอกาสนี้เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้นำข้อเสนอแนะมาตรการเพื่อการพัฒนาภาคบริการทางการเงินและระบบนิเวศของกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ (สตาร์ทอัพ) ของประเทศไทย มามอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแนวทางการปรับปรุงเพื่อประสานความร่วมมือทางการค้าได้ง่ายขื้น
ด้านนายอนุชา ได้แสดงความยินดีที่ทราบว่าสถานการณ์การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงดำเนินด้วยดี แม้ทั้งสองประเทศจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก แต่ทางสหรัฐฯ ก็ยังมีความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีบริษัทรายใหญ่สนใจลงทุนกว่า 700 บริษัท ขณะเดียวกันการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเกิดการจ้างงานคนไทยในสหรัฐฯ กว่า 70,000 ราย
นอกจากนั้นทางเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยยังได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมืองไทย เนื่องจากที่ผ่านมามีข่าวบิดเบือนว่าทางสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนการประท้วงที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อความว่าไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใด มีเพียงแต่อยากให้ประเทศไทยได้ดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยที่อยู่ในความถูกต้องเท่านั้น