วันเสาร์, พฤษภาคม 18, 2024
หน้าแรกHighlightเงินบาทเปิดตลาด35.01บาทต่อดอลลาร์ “นักลงทุน”เกาะติดตลาดแรงงานสหรรัฐฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทเปิดตลาด35.01บาทต่อดอลลาร์ “นักลงทุน”เกาะติดตลาดแรงงานสหรรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “ทรงตัว” โดยนักลงทุนไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ คืนนี้

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.92-35.04 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ตามทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ก่อนรับรู้รายงานยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้

ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันนี้ อย่างไรก็ดี รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ล่าสุดที่ชะลอลงตามคาดและสอดคล้องกับรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนหน้า ก็พอช่วยพยุงบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมได้ ทำให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด ลดลงเพียง -0.16%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อ -0.20% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของยูโรโซนออกมาอยู่ในระดับที่สูงถึง 5.3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมองว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -2.7%, Hermes -1.6%)

ขณะที่ตลาดบอนด์ เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 4.12% ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ และมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองเดิมว่า แม้บอนด์ยีลด์ระยะยาวอาจพลิกกลับมาปรับตัวขึ้น แต่ก็จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจมีการปรับสถานะบางส่วนก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในวันนี้ นอกจากนี้ ภาพตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัวก็มีส่วนทำให้เงินดอลลาร์ยังมีความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 103.6 จุด (กรอบ 103.4-103.8 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรของผู้เล่นบางส่วน ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงจังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งมองว่าผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน (ทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) และรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ในช่วงเวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

โดยในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนสิงหาคมนั้น นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจเพิ่มขึ้น 168,000 ราย ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ส่วนอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ก็อาจชะลอลงสู่ระดับ +0.3%m/m หรือ +4.3%y/y

ขณะที่อัตราการว่างงานอาจทรงตัวที่ระดับ 3.5% เรามองว่า หากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาตามที่นักวิเคราะห์ประเมิน อาจไม่ได้หนุนให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่อาจทำให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน จนกว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงมากขึ้น (เรายังคงมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปลายปี-ต้นปีหน้า)

ส่วนของรายงาน ดัชนี ISM Manufacturing PMI เดือนสิงหาคม นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 47 จุด สะท้อนว่าภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังคงหดตัวอยู่ (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) และเป็นการหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมในปีก่อนหน้า

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมองว่า ในช่วงก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เงินบาทอาจเคลื่อนไหว sideway ในกรอบไม่ต่างจากช่วงวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นยังมีความไม่แน่นอน (มีการซื้อสุทธิ สลับกับการขายสุทธิในช่วงที่ผ่านมา) ทำให้เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทย หลังดัชนี SET และ SET50 ได้รีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญ

แม้ว่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง แต่มองว่าเงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่อยากปรับสถานะถือครองไปมากนัก ก่อนรับรู้ข้อมูลดังกล่าว โดยประเมินว่า โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังอยู่ในช่วง 35.10-35.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ

นอกจากนี้ควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงก่อนและหลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเราคาดว่า ธีมหลักของตลาดในช่วงนี้ ยังคงเป็น “Bad data is Good news for the market” หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด หรือ สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น จะส่งผลให้ตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าว อาจลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ดังนั้น หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง

รวมถึง ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ ชะลอลงตามที่ตลาดคาด หรือ ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ในทางกลับกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด เงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแรง เช่น ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY อาจปรับตัวขึ้นกลับไปสู่ระดับสูงกว่า 104 จุด ได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 35.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้

ในช่วงนี้ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และประเมินกรอบเงินบาท ในช่วง 34.80-35.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ

    

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img