วันศุกร์, พฤษภาคม 17, 2024
หน้าแรกNEWSอินโดนีเซียเริ่มใช้มาตรกรเซฟการ์ดสิ่งทอ 4 รายการ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

อินโดนีเซียเริ่มใช้มาตรกรเซฟการ์ดสิ่งทอ 4 รายการ

พาณิชย์เผยอินโดนีเซียเริ่มการไต่สวนมาตรการเซฟการ์ดปกป้องอุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศ 4 รายการ ย้ำให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในความตกลง WTO อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ทางการค้าของไทย

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา KPPI (Indonesian Trade Safeguard Committee) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการด้านมาตรการ Safeguard ภายใต้สังกัดกระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซีย ได้ประกาศเปิดการไต่สวนการใช้มาตรการฯ ตามความตกลงว่าด้วยมาตรการ Safeguard ขององค์การการค้าโลกหรือ WTO กับสินค้าจำนวน 4 รายการ ได้แก่1. ด้ายฝ้าย (Cotton Yarn) 2. ผ้าฝ้าย (Cotton Fabrics) 3.ผ้าทอทำด้วยเส้นใยสังเคราะห์ (Woven Fabrics of Artificial Filament Yarn) และ 4.เส้นใยสังเคราะห์ (Artificial Filament Yarn)

โดยมาตรการ Safeguard เป็นการดำเนินการ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากสินค้านำเข้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจนมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ด้วยการเก็บอากร Safeguard กับสินค้าดังกล่าวจากทุกประเทศ ซึ่งกรณีอุตสาหกรรมสิ่งทอนับเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญ โดยประเมินจากส่วนแบ่งตลาดในประเทศและจำนวนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอของอินโดนีเซียที่มีสัดส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ข้อมูลของรัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า ปริมาณการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 14,843 ตันในปี 2562 เป็น 29,908 ตันภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบสถิติการนำเข้าสินค้าทั้ง 4 รายการจากไทย พบว่าในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าผ้าฝ้าย ผ้าทอทำด้วยเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยสังเคราะห์จากไทยต่ำกว่า 3% ของปริมาณสินค้านำเข้าทั้งหมด กรมฯ ในฐานะผู้แทนหน่วยงานภาครัฐของไทยจึงได้มีหนังสือแจ้งให้ไทยได้รับยกเว้นจากการใช้มาตรการฯ กับสินค้า 3 รายการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามความตกลงข้อ 9.1 ของ WTO ที่กำหนดไม่ให้ใช้มาตรการฯ กับประเทศกำลังพัฒนาที่มีสัดส่วนปริมาณการนำเข้าไม่เกิน 3% สำหรับกรณีสินค้าด้ายฝ้าย ซึ่งอินโดนีเซียมีการนำเข้าจากไทยในสัดส่วนที่เกินกว่า 3% เพียงเล็กน้อย

กรมฯ จึงได้แสดงตนเข้าร่วมในกระบวนการไต่สวน พร้อมทั้งเน้นย้ำให้อินโดนีเซียปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในความตกลงฯ WTO อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ทางการค้าของไทย ทั้งนี้ กรมฯ จะติดตามผลการไต่สวนการใช้มาตรการฯ อย่างเป็นทางการของสินค้าทั้ง 4 รายการต่อไป

ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีการใช้มาตรการ Safeguard กับสินค้า 20 รายการจากทั่วโลก ซึ่งไทยได้รับการยกเว้น 14 รายการ โดยอีก 6 รายการที่ไม่ได้รับการยกเว้นจากการใช้มาตรการฯ ได้แก่ คอยล์เย็น (Evaporators) น้ำเชื่อม (Fructose Syrup) พรมและสิ่งปูพื้น (Carpets and Other Textile Floor Coverings) ด้ายจากเส้นใยสังเคราะห์ (Yarn [Other than sewing thread] of Synthetic and Artificial Staple Fibre) โฟม EPS (Expansible Polystyrene: EPS) และอุปกรณ์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย (Articles of Apparel and Clothing Accessories) เนื่องจากมีสัดส่วนการนำเข้าเกิน 3%

โดยที่ผ่านมา กรมฯ ได้เข้าร่วมกระบวนการไต่สวนและดำเนินการแก้ต่างให้กับผู้ส่งออกไทยมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีการยื่นข้อโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน่วยงานของอินโดนีเซีย เพื่อขอให้ยุติการใช้มาตรการฯ กับไทย ในกรณีที่สินค้านำเข้าจากไทยมีสัดส่วนเกินกว่า 3% เพียงเล็กน้อยและไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของอินโดนีเซีย

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกรณีเปิดการไต่สวนของสินค้าทั้ง 4 รายการ ได้ตาม QR Code ที่ปรากฏด้านล่าง และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้มาตรการฯ สามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์มาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้า https://thaitr.dft.go.th/th/measure_info/sg/info หรือโทรสายด่วน 1385

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img