วันอาทิตย์, พฤษภาคม 19, 2024
หน้าแรกHighlight“ตู่-จตุพร”บี้“บิ๊กตู่-ประยุทธ์”อย่าลาออก จะได้รู้“จุดจบแห่งอำนาจ”ว่า“นรกมีจริง”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ตู่-จตุพร”บี้“บิ๊กตู่-ประยุทธ์”อย่าลาออก จะได้รู้“จุดจบแห่งอำนาจ”ว่า“นรกมีจริง”

“ตู่-จตุพร” ร่วมงานรำลึก 12 ปีวีรชน 10 เม.ย.53 ยันไม่เคยย้ายขั้วสลับข้าง ชี้ติดคุกมากสุดในบรรดาแกนนำ ขอร้อง “ประยุทธ์” อย่าลาออก เพราะจุดจบอำนาจต้องรู้จักคำว่านรกมีจริง

เมื่อวันที่ 10 เม.ย.65 ที่อาคาร พีซ ทีวี ซ.รามอินทรา 40 กทม. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อปี 2553 พร้อมมวลชน นปช. จำนวนหนึ่ง จัดกิจกรรมรำลึก “12 ปี วีรชน 10 เม.ย. 53” โดยมีการทำบุญถวายสังฆทานพระสงฆ์ 9 รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้นายจตุพร ได้กล่าววิเคราะห์สถานการณ์การเมืองครั้งแรกหลังออกจากเรือนจำครั้งล่าสุด ว่า วันนี้ครบรอบที่เป็นรอบจริงๆ คือ 12 ปี ที่เป็น 12 ปีแห่งความสูญเสีย ตลอดระยะเวลาถ้านับขบวนการคนเสื้อแดงถอยไปอีก 3 ปี คือปี 2550 ตลอดระยะก็รวมเป็น 15 ปีที่เราปรากฏตัวตนกันอยู่ในประเทศนี้ ความสูญเสียไม่ว่าจะเป็นความตาย บาดเจ็บ สูญสิ้นอิสรภาพ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่พวกเราไม่ไปต่อสู้ ทุกกระบวนการที่สามารถไปเรียกร้องหาความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือที่ใดของโลก เราได้ทำหน้าที่อย่างครบถ้วน เพียงแต่ว่าไม่เคยมีที่ไหนสามารถให้ความยุติธรรมกับพี่น้องคนเสื้อแดงได้ นี่เป็นความสูญเสียที่ใหญ่มากที่สุด ตนพยายามอธิบายมาตลอดว่าการต่อสู้ทุกเหตุการณ์ที่มีความสูญเสียในประเทศไทย ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดฝ่ายใด การต่อสู้ด้วยความเชื่อต้องไม่จบลงด้วยการฆ่าและความตาย แต่ความตายและความสูญเสียของคนเสื้อแดงนั้น เป็นความสูญเสียที่มากที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยนี้เคยตั้งมา

นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้ในวันนั้นเราต่างรู้สึกมีความหวัง ตอนนั้นตนอายุ 40 กว่า วันนี้อีก 3 ปีจะอายุ 60 เราหวังว่าเวลาจะอยู่ข้างเรา แต่เวลาของเราก็หมดตามลำดับในโลกแห่งความเป็นจริงๆ หลายคนตั้งคำถามผมว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไปย้ายขั้วสลับข้างกันแล้วหรือ ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ความจริงตั้งแต่ปี 2535 ถึงปี 2553 มาถึงปี 2565 จุดยืนของตนไม่เคยย้ายไปจากตัวของตนเลย เพียงแต่ว่าการยืนหยัดตนอยู่ในสนามรบตนย่อมรู้ว่าใครเป็นใคร แม้กระทั่งแนวความคิดต่างๆ ที่พยายามจะฉาย เพราะตนรู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างอิสรภาพ การขับเคลื่อนของตนน้อยมาก ตนเป็นภูมิต้านทานต่ำกับคุก แน่นอนที่สุดพอขยับทีไอ้พวกนี้วางแผนขังตนทุกที ในขบวนการแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมด ตนเป็นคนที่ถูกดำเนินคดีมากที่สุด เข้าออกคุกมากที่สุด และก็ถูกกล่าวหาทั้งที่เข้าออกคุก แต่ตนก็ยังต้องยืนอยู่เพราะรู้ว่าขณะนี้ประเทศไทย ถ้าเราคิดเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกทางการเมือง ซึ่งในโลกโซเชียลมีเดีย จะสร้างคนให้เป็นอะไรก็ได้

“ถ้าคนมันจะทรยศมันจะเข้าคุกออกคุกถึง 5 ครั้งหรือ ไอ้คนที่ไม่เคยทรยศไม่เคยเข้าคุกเลย ดังนั้นผมจึงบอกว่าวันนี้เราคิดเรื่องบ้านเมืองมากกว่าการเมือง อีก 3 ปี ผมจะอายุ 60 จะให้ปราศรัยเสียงสูงเกียร์ 5 เหมือนเดิมไม่ได้ แต่ผมอยู่ในสนามตั้งแต่วัยเด็กอายุ 20 เศษ จนถึงวันนี้ช่วงปลายของชีวิต ผมก็ต้องเลือกในการต่อสู้ ยกที่แล้วขับไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็รู้ว่าลงมือวันไหนพวกนี้วางแผนขังแล้วก็ไม่ผิดคาด วันนี้ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ฟังผมขอร้องว่าอย่าลาออก ประเทศชาติยังเหลือความฉิบหายให้คุณทำอีกได้มากพอสมควร เพราะจุดจบอำนาจต้องรู้จักคำว่านรกมีจริง” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนรู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนสภาเปิด ปัญหาคือฝ่ายค้านอย่าผิดสัญญา ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 23 พ.ค. เพราะแน่นอนที่สุดถ้ายื่นไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถยุบสภาได้ แต่ถ้ายืดไปเดือน ส.ค. สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนอีก อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง ยิ่งกลัวยิ่งไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้ถ้าคิดเพียงแค่เรื่องการเมือง เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งแล้วปกครองประเทศนี้ได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 ที่มีความซ่อนเงื่อนมาก มีส.ว. องค์กรอิสระอย่างครบถ้วน แต่ยังคิดแค่เรื่องตัวเลขกันอยู่ คิดว่าการเลือกตั้งจะได้เปรียบเรื่องบัตร 2 ใบ แต่ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93 94 เรื่องผู้แทนพึงมี ท้ายที่สุดบัตร 2 ใบจะเท่ากับบัตรใบเดียว นั่นคือเอาคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ บวกพื้นที่ ไม่หารด้วย 100 ตามที่พูด แต่จะหารด้วย 500 จากคะแนนผู้แทนประมาณ 7 หมื่นก็จะตกอยู่ที่ 1.55 แสน

นายจตุพร กล่าวว่า เราสู้วันนี้ก็ไม่ได้สู้เพื่อจะล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดชีวิต ตนบอกเสมอว่าเราสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เลือกตั้งก็ชนะมาตลอดอยู่แล้ว แต่ปกครองแผ่นดินนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 เรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องขี้ประติ๋วมาก พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะนับวัน หรือจะนับเดือนก็ตาม และไม่ใช่เป็นคำสาปอย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีวันอยู่ครบ 8 ปี เหตุผลนั้นพล.อ.ประยุทธ์รู้แก่ใจมากที่สุดว่าท้ายที่สุดนั้นการเมืองภายใต้ผลประโยชน์ที่เอื้อต่อทุนจนประเทศอยู่ในสภาพที่ยากลำบากที่สุดเป็นปัจจัยภายในที่เลวร้ายที่สุด ตนจึงบอกว่าครบ 12 ปีนั้น เราเป็นเหตุการณ์ที่มีคนตายมากที่สุดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เรายังไม่มีอนุสาวรีย์ เราไม่มีการชำระประวัติศาสตร์และเราไม่มีความยุติธรรมใน 12 ปีนี้ สิ่งที่เรามีความวาดหวังก็คือว่าประเทศควรจะเดินได้ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ชนะแต่ปกครองไม่ได้ และแก้ไขความฟอนเฟะของประเทศไม่ได้

นายจตุพร กล่าวอีกว่า งานครบรอบในช่วงบ่ายนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคณะจัดที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถ้าพี่น้องสะดวกก็ไปร่วมกัน ให้เห็นว่างานนี้เป็นเรื่องของคนทุกคนที่รักประชาธิปไตยและได้ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์นั้น วันนี้ตนไม่ต้องการบรรยากาศว่าเราจะมี 2 ภาค แต่พวกตนปกติก็จัดที่นี่ และจะนัดหมายกันอีกครั้งว่าวันที่ 19 พ.ค. ครบรอบ 12 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเสื้อแดง ก็จะจัดที่นี่ และจะจัดทุกปี ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันไหนไม่มีใครรู้ ตนสรุปว่าบทเรียนแห่งความตาย ความสูญเสียที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกความตายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามก็ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศนี้อีกแล้ว และ ได้เวลาที่คนไทยจะคิดร่วมมือกัน

“ผมอยู่บนท้องถนนมาชั่วชีวิต อยู่ในรัฐสภาช่วงเวลาไม่นาน ตนเข้าใจชีวิตบนท้องถนน ชีวิตแห่งการต่อสู้ ตนบอกเสมอว่านักต่อสู้เหมือนวัสดุสิ้นเปลือง เราเป็นพวกที่ทำใจว่าใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นเส้นทางทางการเมืองผมแทบเป็นศูนย์อยู่แล้ว เพราะถูกตัดสิทธิ์ 10 ปีคดีต่อเป็นหางว่าว เรื่องสนามทางการเมืองตนถือว่าผมปิดประตู เส้นทางในคดีแพ่งปลายทางก็หนีการล้มละลายไปไม่พ้น เรื่องคุกก็รอวันข้างหน้าอีกหลายครั้ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือขบวนการของพี่น้องประชาชน ตนเป็นมิตรกับขบวนการประชาธิปไตยทั้งหลาย

“ผมจึงเรียกร้องว่าจงคิดให้ไกลๆ เหมือนที่เคยจัดรายการมองไกล แต่คิดเพียงใกล้ๆ คิดว่าการเลือกตั้งจะชนะเขาก็ไปแก้กติกาใหม่ ได้ 2 ใบ เขาก็รู้ว่า 100 หารแพ้ เอา 500 หาร ซึ่งก็เท่ากับปี 2562 จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์สักคนอีก ดังนั้นผมจึงบอกกับพี่น้องว่าสิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้เอาเรื่องบ้านเมืองให้ใหญ่กว่าการเมือง ถ้าเอาการเมือง เอานักเลือกตั้งมาเป็นตัวตั้งเราก็จะแพ้ตลอดไป ผมไม่ได้หายไปไหน แต่คิดอยู่ว่าจะออกมาเมื่อไร บัดนี้พร้อมแล้ว และพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้ประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงตามความฝันตามเจตนารมณ์ของวีรชนไม่ว่าจะในเหตุการณ์ใด”นายจตุพรกล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img