วันพุธ, พฤษภาคม 29, 2024
หน้าแรกNEWS"พีระพันธุ์" เปิดมุมมองวางแนวบริหารแบบ​ "โปลิตบูโร" แก้เศรษฐกิจ ดันแก้กฎหมายรองรับ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พีระพันธุ์” เปิดมุมมองวางแนวบริหารแบบ​ “โปลิตบูโร” แก้เศรษฐกิจ ดันแก้กฎหมายรองรับ

“พีระพันธุ์” ย้ำตั้ง รทสช.ไม่ได้รองรับใคร ชมเปาะ “ประยุทธ์” ทำเพื่อชาติไม่ใช่การเมือง ชูแก้กฎหมายช่วยประชาชนฐานรากเข้าถึงการแข่งขัน ปรามาท 10 ทีมเศรษฐกิจไม่สามารถแก้ได้ถ้ายังอิงเศรษฐกิจโลก แต้สามาีถทำให้ปลอดภัยได้ ลั่นใช้แนวทางบริหารแบบ​ “โปลิตบูโร” แต่ต้องดูกฎหมายทำได้แค่ไหน

วันที่ 1 ม.ค.2566 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปีหน้า 2566 ว่า ไม่เห็นมีอะไร แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไร ทุกอย่างก็เป็นไปตามวาระ โดยในปี 66 ก็จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งก็เหมือนทุกปีที่ผ่านมา สำหรับตนผ่านการเลือกตั้งมาหลายรอบแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไร เพียงแต่ว่าเราก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งเท่านั้น ตนคิดแค่นี้ ไม่ได้คิดพิเศษอะไร  

เมื่อถามว่าในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างไรบ้าง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เราเตรียมความพร้อมมาตลอดอยู่แล้ว และเรามีความพร้อมมากขึ้นทุกวัน ทั้งในแง่การบริหารจัดการของพรรคและในแง่ของผู้ที่สนใจ

เมื่อถามว่าหลังจากปีใหม่ประชาชนน่าจะได้เห็นการขับเคลื่อนของพรรคชัดเจนขึ้นใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ก็คงจะมีประเด็นต่างๆออกมามากขึ้นเพราะใกล้เวลาที่จะมีการเลือกตั้งมากขึ้น เราก็ต้องมีการขับเคลื่อนมากขึ้น 

“ผมยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับพล.อ.ประยุทธ์ ตามที่เป็นข่าว เราตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการเป็นพรรคการเมืองจริงๆ ซึ่งการเตรียมความพร้อมเราก็เตรียมเป็นปกติอยู่แล้ว และหากพล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมงานกับพรรคเราก็ดีใจ เพราะผมทำงานการเมืองกับพล.อ.ประยุทธ์ มานาน ทำแล้วสบายใจ และส่วนใหญ่งานที่ทำก็เป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ซึ่งผมมีความสุขที่ได้ทำงาน 
พรรครวมไทยสร้างชาติที่ตั้งขึ้นมาเราต้องการรวบรวมคนดีๆมาทำงานด้วยกันเพื่อให้ชาติบ้านเมืองจริงๆ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เราเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะทำงานให้กับประชาชน และชาติบ้านเมือง ดังนั้นถ้าพล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมงานกับเราก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะท่านเป็นบุคลากรที่มีค่าทางการเมืองสำหรับประชาชนและประเทศชาติ หลายเรื่องที่ไม่สำเร็จในอดีตก็มาสำเร็จในรัฐบาลนี้ รวมถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศก็ดีขึ้นหมดซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยได้รับการประชาสัมพันธ์ออกไปให้ประชาชนรู้”นายพีระพันธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าปฏิเสธไม่ได้ใช่หรือไม่ว่ากระแสของนายกฯจะช่วยดึงคะแนนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติได้ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า คนที่ทำงานการเมืองทุกคนไม่มีคนใดที่จะ เป็นที่โปรดปรานของคนทุกคนในประเทศ 100% ก็ต้องมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ คนอื่นก็เป็นเหมือนกันเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่อง ผิดปกติและไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวล

เมื่อถามว่ามองจุดเด่นของพล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเทียบกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคอื่นอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์พรรคอื่น แต่สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ เท่าที่ตนทำงานใกล้ชิดมา 3 ปีกว่าตนไม่รู้สึกว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมือง แต่ตนรู้สึกว่าท่านเข้ามาทำงานให้ชาติบ้านเมือง และเป้าหมายของท่านก็ไม่ใช่ ผลประโยชน์หรือสถานะทางการเมือง แต่คือสิ่งที่นายกคิดว่าจะแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งการเมืองที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการเมือง ท่านคิดแต่เรื่องของการทำงาน เป็นคนที่มีคุณสมบัติและมีค่าทางการเมือง

เมื่อถาม ถึงนโยบายของพรรคจะมีการทยอยเปิดออกมาได้เมื่อไหร่นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า มีแน่นอนแต่ยังไม่ถึงเวลา เมื่อถามว่ามีการมองกันว่ารัฐบาลนี้ อาจจะเน้นในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเยอะโดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เน้นที่เศรษฐกิจฐานราก เพราะเราคิดว่านั่นคือปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทยวันนี้คนที่อยู่ในเศรษฐกิจข้างบนหรือผู้ประกอบการรายใหญ่ เขาสามารถต่อสู้ทางด้านธุรกิจการค้าได้ วันนี้คนกลุ่มนี้ต้องการเพียงแค่แรงสนับสนุนจากภาครัฐให้เขาสามารถทำธุรกิจของเขาได้คล่องตัวขึ้น รวดเร็วขึ้นซึ่งตรงนี้จะเป็นเรื่องของกฎระเบียบ แต่อีกส่วนหนึ่งคือชาวบ้านที่ไม่ได้มีขีดความสามารถเหมือนผู้ประกอบการ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุน แม้กระทั่งที่ดินทำกิน ซึ่งถือเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานราก และน่าจะเป็นคนจำนวนมากของประเทศด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทีมเศรษฐกิจเลย เพราะชาวบ้านฐานรากเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ว่าใครจะมาเป็นทีมเศรษฐกิจหรือ GDP จะเป็นเท่าไหร่ เขาสนใจแค่พรุ่งนี้จะทำกินได้หรือไม่ หรือเข้าไปทำกินในที่ดินแล้วจะถูกจับจนกลายเป็นผู้ต้องหาหรือไม่  นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความไม่เท่าเทียมกัน การถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่พรรครวมไทยสร้างชาติให้ความสำคัญและถือเป็นสิ่งที่จะต้องแก้ไข 

เมื่อถามว่าจะต้องมีการตั้งทีมที่จะมาแก้ปัญหาทางด้านกฎหมายโดยเฉพาะหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตน ทำกฎหมายหลายฉบับซึ่ง ได้เตรียมไว้แล้ว กฎหมายบ้านเราเยอะแยะไปหมดแต่ไร้สาระ กฎหมายที่ควรจะมีสาระกับไม่มี สำหรับตนคิดว่าการที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ว่าเอาทีมเศรษฐกิจมาทำงานแต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนทำมาหากินได้ง่ายขึ้น รายจ่ายให้น้อยลง  

“ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะทำประเทศไทยให้มีเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศอื่นได้ ต่อให้กี่ 10 ทีมเศรษฐกิจก็ทำไม่ได้ ไม่มีทางทำได้เพราะเราต้องลิงค์กับเศรษฐกิจโลก แต่เราจะทำให้หลายอย่างในประเทศไทยปลดล็อคให้ได้ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ผมคิดว่า มันอยู่ในอำนาจของพรรคการเมือง หรือรัฐบาลที่ทำได้”

เมื่อถามว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะใช้กฎหมายมาแก้ปัญหาให้กับประชาชนแทนการมีทีมเศรษฐกิจที่จะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่มีเพียงแค่กฎหมายแต่มันมีเรื่องของระเบียบปฏิบัติและนโยบาย แต่กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางต่างๆ วันนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องให้ภาคเอกชนสามารถทำมาหากินได้ง่ายขึ้น ปัญหาต่างๆในประเทศไทย ถ้าไม่แก้กฎหมายก็ทำไม่ได้ ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติจะทำใหม่หมด 

เมื่อถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีทีมเศรษฐกิจเหมือนกับพรรคอื่นๆที่ต้องการเน้นการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า มันก็ต้องมี ตนอยู่การเมืองมาเห็นก็มีแต่ทีมเศรษฐกิจแต่ไม่เห็นมีทีมใดที่ทำได้ ที่คิดๆกันไว้ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอเข้ามาจริงๆก็ไม่ได้ทำเพราะกฎหมายไม่ให้ทำแบบนั้น ทีมเศรษฐกิจอาจจะคิดได้ แต่หลักการไม่มีให้ทำมันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นที่ฝันกันว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่มีนักกฎหมายมาเขียนโครงสร้างสังคมให้ หรือเขียนกฎหมายให้เป็นอย่างนั้นมันก็ทำไม่ได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับพล.อ.ประยุทธ์ กับบรรดาส.ส.ที่จะตามมาด้วย หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า  ไม่จำเป็นต้องปรับอะไร โครงสร้างพรรคเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นใครเข้ามาก็เข้ามาอยู่ในระบบที่มีอยู่แล้วนั่นแหล่ะ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเตรียมตั้งทีมที่ปรึกษาพรรคที่มีลักษณะคล้าย”โปลิตบูโร” นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ใช่โปลิตบูโร เพราะนั่นคือ แนวคิดว่าทำอย่างไรจะกำกับดูแลคนในพรรคให้อยู่ในระเบียบวินัยและทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทำงานเพื่อสังคมและประชาชน ซึ่งในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติก็มีนโยบายตรงนี้อยู่ แต่จะเรียกแบบไหน  กฎหมายให้ทำได้แค่ไหน แต่เวลาเรียกและพูดกัน ก็เรียกตามคอนเซ็ปว่า โปลิตบูโร แต่ในความเป็นจริงเรายังไม่ทราบว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะบอกว่าตามกฏหมายของกกต. จะให้ทำได้แค่ไหนเพียงใด เราจึงยังตอบไม่ได้ 

“เรามีความคิดว่า ควรจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้ามาทำงานในพรรคคอยดูแลการทำงานของพรรค ให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ใช่ว่าอำนาจไปตกอยู่กับหัวหน้าพรรค เลขาพรรคหรือคณะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น เพราะพวกผมมีความตั้งใจจะสร้างพรรคนี้ให้เป็นหลัก เป็นสถาบัน ไม่ใช่มาเป็นพรรค เพื่อรองรับใคร เฉพาะกิจ เฉพาะคราว แล้วเลิก ดังนั้นเราจึงมีความคิดว่า การจะเป็นพรรคการเมืองที่ดีได้ ต้องมีโครงสร้างอะไรบ้าง จะต้องมีองค์กรอย่างไรภายในพรรคเพื่อผลิตนักการเมืองดีๆ มีแนวทางเป็นพี่เลี้ยงให้เขาทำงานในเรื่องต่างๆ จะเรียกอะไรต้องดูไม่ให้ขัดกฎหมาย  กกต. เราจึงยังตอบไม่ได้ชัดว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใด แต่แม้เราตั้งใจทำ คือในทางปฏิบัติก็มีขึ้นมา แม้ในกฎหมายไม่ได้มีกำหนดไว้ แต่ทุกคนในพรรคยอมรับว่า เรามีหน่วยที่จะกำกับดูแลตรงนี้เราก็ทำงานกันได้” 

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคการเมืองของไทยมักจะมีกลุ่มก๊วน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เราจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดแบบนี้ขึ้น จึงต้องวางระบบพรรคให้ดี และคิดว่าระบบพรรคที่ดีต้องไม่มีลักษณะอย่างนั้น  ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติวางแนวทางไว้แล้ว ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการวางตัวผู้สมัครของพรรค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ตนพอใจเกินความคาดหมาย เพราะตอนนี้มีผู้สมัครที่เป็นส.ส. ปัจจุบันไม่น้อยกว่าพรรคอื่น ผู้สมัครที่เคยเป็นส.ส. แต่คราวที่แล้วแพ้กระแสนายกฯ และมีผู้สมัครใหม่ที่เป็นกำลังหลักของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในอดีต รวมถึงหน้าใหม่เลยเราก็มีรวมถึงหลักร้อยแล้ว ยืนยันไม่มีการซ้ำพื้นที่ หากซ้ำซ้อนเราได้วางหลักเกณฑ์ไว้แล้ว เราก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่สุด และมีความเป็นไปได้สูงสุด คนที่ส่งลงสมัครเราก็ต้องเชื่อมั่นว่าจะเป็นคนที่ชนะเลือกตั้งได้ ส่วนคนไหนที่ไม่ผ่านก็สามารถไปทำงานในส่วนอื่นที่ช่วยกันได้ เราพยายามพูดกับคนในพรรคว่า การทำงานการเมือง หากใจอยากทำไม่มีตำแหน่งก็ทำได้ ทำงานได้ทั้งนั้น ตำแหน่งก็แล้วแต่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป วันนี้ใครเหมาะสมก็ลงพื้นที่ ใครยังไม่สามารถไปตรงนั้นได้ก็ทำตำแหน่งหน้าที่อื่น แต่ไม่ใช่ว่าใครที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้ลงแล้วเรา จะทิ้งเขา ตนไม่ทิ้งใคร ทุกคนถ้าอยากทำงานได้ทำหมด ยืนยันเราเป็นพรรคการเมืองอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นพรรคของใคร ไม่ได้เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร 

ผู้สื่อข่าวถามถึงคนที่ติดตามมากับนายกฯ จะการันตีได้หรือไม่ว่าจะมีพื้นที่ได้ลงทุกคน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้วางระบบและหลักเกณฑ์ไว้ ดังนั้นทุกคนก็ต้องเข้าหลักเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นคงบริหารจัดการพรรคไม่ได้ จะกลายเป็นว่าคนนี้เป็นคนของคนนั้น คนนั้นเป็นคนของคนนี้ สุดท้ายอาจแพ้เลือกตั้ง สมมุติว่าคนนี้เป็นคนของผม คนนี้เป็นคนของเลขา คนนี้เป็นคนของกก.บห.พรรค ก็ตีกันอีก แล้วจะตัดสินอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องมีหลักเกณฑ์กลางว่าหากเกิดกรณีอย่างไหนแล้วจัดการอย่างไร และทุกคนยอมรับหลักการนี้ตั้งแต่ต้น ก็เท่านั้น เป้าหมายของเราคือชนะเลือกตั้งแล้วกลับมาบริหารประเทศ ตามแนวนโยบายของเรา

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วม รับประทานอาหารกับ 40 ส.ส.ที่จะเข้าพรรค รวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ได้ไปกิน ตนไม่ได้ไป

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img