สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ “ก.ล.ต.” รับหน้าเสื่อ เป็นแกนนำในการ เปิดตัวกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ กองทุน ทีอีเอสจี ในวันที่ 8 ธ.ค.66 นี้
โดยควบคู่มากับ กรมสรรพากร-สภาธุรกิจตลาดทุนไทย-นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน รวมไปถึง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลังรัฐบาลมอบโจทย์ใหญ่ให้เติมเสน่ห์ให้กับตลาดทุน ตลาดหุ้นไทย
ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยถูกกดทับจากสารพัดปัจจัยมากมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทำให้ตลาดหุ้นไทยนั้นดิ่งหัวลดต่ำหลุดกรอบ 1,400 จุดไปหลายรอบ
แถมมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวัน ก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ปลุกไม่ขึ้น ไม่หวือหวา ซื้อขายวัน 2 หมื่นล้านบาท 3 หมื่นล้านบาท ไม่พุ่งปรี๊ดเหมือนก่อนที่ระดับ 7-8 หมื่นล้านบาทโน่น
บางฝัก…บางฝ่าย!! ได้ทีก็โยนตูมมาที่รัฐบาล พร้อมซัดทอดไปว่า ไม่มีฝีมือ ไม่สามารถกำกับดูแลให้บรรยากาศดึงดูดการลงทุนให้ครึกครื้นเหมือนที่ผ่านมาได้
ทั้งที่ก็รู้ดีกันอยู่ว่า ปัจจัยด้านการเมืองแม้จะผสมเข้ามาเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่สดใสนั้นมาจากเรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว
แต่!!ก็เป็นเรื่องเชิงการเมืองนั่นแหล่ะ ที่ผู้กำกับดูแลต้องชี้แจงแถลงไขให้ชัดเจน ที่สำคัญต้องเรียกความเชื่อมั่น สร้างมนต์เสน่ห์ให้กลับคืนมาโดยเร็ว โดยเฉพาะการเรียกเงินทุนจากต่างประเทศให้ไหลกลับเข้ามา
ปัจจัยในประเทศ…ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่น อย่างกรณี หุ้นมอร์ หรือ หุ้นสตาร์ค ที่นักลงทุนรายใหญ่-รายเล็ก เหมือนถูกหอบเงินหนีไปแบบซึ่งๆ หน้า ที่ผู้นำประเทศอย่าง “เศรษฐา” ก็สั่งแล้วสั่งอีก ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
เรื่อยมา…จนถึง กรณีหุ้นไทยถูกทุบด้วยโปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติ หรือ ธุรกรรมชอร์ตเซล และ การยืมหุ้นมาขายเพื่อลงทุนช่วงที่ราคาหุ้นปรับลดลง แต่ไม่มีหุ้นในมือ หรือ Naked Short ทำให้ตลาดหุ้นที่ถูกแรงกระแทกจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แถมยังถูกสำทับตามด้วยเรื่องของการเบี้ยวหนี้จ่ายคืนหุ้นกู้ ของบริษัทดังๆ อีกนับสิบบริษัท มูลค่ารวมกว่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท และยังมีกระแสที่ว่ากันว่าภายในเม.ย.ปี 67 จะมีการเบี้ยวหนี้หุ้นกู้อีกจำนวนไม่น้อยทีเดียว
การจะปล่อยให้ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ตลาดทุนไทย เหือดหายไปเรื่อยๆ เช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่อง!! กระบวนการปั้นกองทุนรวมไทยยั่งยืนจึงเกิดขึ้น
แม้ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ที่ไปกระชากความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยกลับคืนมาก็ตาม แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ดึงดูดเงินลงทุนให้กลับคืนมาได้ไม่น้อย
เพราะ กองทุนทีอีเอสจี นี้ สามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 1 แสนบาท และยัง ยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหน่วยลงทุนหากถือครบเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี โดยเริ่มทันทีตั้งแต่ปีภาษีนี้ไปจนถึงปี 75
บรรดากูรู ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดทุน ประมาณกันว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เหลือในปีนี้จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาได้อีกอย่างน้อย 10,000-20,000 ล้านบาททีเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ “นายกฯเศรษฐา” ยังประกาศชัดเจนว่า จะทำให้ตลาดทุนไทยกลายเป็น Investment Destination ของภูมิภาคนี้ โดยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังเน้นไปในเรื่องของความยั่งยืน โดยการผลักดัน ตราสารหนี้สีเขียว หรือ กรีนบอน์ด ซึ่งวาดฝันไว้ว่าจะออกขายไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อให้ร่วมกันสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ
ที่สำคัญยังตั้งหมุดหมายเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ เศรษฐกิจดิจิทัล-เอสเอ็มอี-สตาร์ตอัพ เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เติบโตและขยายตัวต่อไปในระดับโลก
ความพยายามในการฟื้นทั้งตลาดหุ้น ตลาดทุน ทั้งจากการปล่อยกองทุนทีอีเอสจี ทั้งการประกาศ 3 แนวทางเรียกความเชื่อมั่นของนายกฯเศรษฐา จะเป็นผลแค่ไหน คงต้องมารอดูกันต่อไป
แต่ก็ดูเหมือนว่า การปลุกตลาดหุ้นครั้งนี้ยังดูไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยเองยังไม่พ้นจากหลุมดำ เพราะหลังนายกฯประกาศ 3 แนวทาง แต่หุ้นไทยก็ยังวืด
แถมยังติดลบไปมากที่สุดถึง 16 จุด ที่ดัชนี 1,373.34 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ก่อนมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่มเติมจนทำให้หุ้นไทย ติดลบเพียงแค่ 10.82 จุด
เอาเป็นว่า… ณ เวลานี้ อยู่ในช่วงท้ายปี ที่บรรยากาศไม่ได้ส่งเสริมตลาดทุน ตลาดหุ้นไทยเท่าใดนัก การจะพลิกฟื้นเพียงแค่ชั่วข้ามวัน คงไม่ใช่ปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
…………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
