วันศุกร์, พฤษภาคม 10, 2024
หน้าแรกNEWSศูนย์วิจัยฯหวั่นโอมิครอนรุนแรงกดจีดีพีโตเพียง 3.4%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศูนย์วิจัยฯหวั่นโอมิครอนรุนแรงกดจีดีพีโตเพียง 3.4%

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดจีดีพีปีหน้าแตะ 3.8% ยันโอมิครอนไม่น่ากังวล ยกเว้นระบาดรุนแรงรัฐล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง-จำกัดการเดินทางเข้าประเทศกดจีดีพีโตเพียง 3.4% แนะรัฐอัดเม็ดเงินเยียวยากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม หวังลดผลกระทบรายได้ตลาดแรงงานยังไม่ฟื้น

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 เติบโต 3.8% สูงกว่าปี 2564 ที่โตเพียง 1.0%  คาดว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน  จะไม่กระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและไทยมากนัก 

“เศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นตัว หรือ  Recovery Path  ชัดเจนขึ้น การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรในสัดส่วนที่สูงขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงการปรับพฤติกรรมของคนให้สามารถอยู่ร่วมกับโควิด-19 จะช่วยรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ส่งออกไทยโตได้ต่อเนื่อง 

ด้านอุปสงค์ในประเทศของไทยคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวเป็นลำดับนับตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2564 อย่างไรก็ดี มีหลายปัจจัยท้าทายที่ทำให้การกลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ของเศรษฐกิจไทยต้องล่าช้าไปเป็นปี 2566

“ การเติบโต เศรษฐกิจต้องสะดุดลงจากการแพร่ระบาดใหญ่ มีความเปราะบางทั้งจากการฟื้นตัวที่ไม่พร้อมเพรียงกัน (K-Shaped Recovery)  และปริมาณหนี้ในระดับสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่กลับเข้าสู่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 และยังต้องอาศัยการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังเพื่อช่วยสร้างโมเมนตัม อย่างไรก็ตาม หากเลวร้ายโอไมครอน แพรร่ระบาดในประเทศ จนต้อง Lockdown พื้นที่เสี่ยง +จำกัดผู้เดินทางเข้าประเทศ ภาครัฐกู้เงินเยียวยา เศรษฐกิจเพิ่มเติมจีดีพีโตเพียง 3.4% “

ดร.มานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการลงเม็ดเงินเยียวยาเศรษฐกิจเพิ่มเติมใน 3 มิติหลัก ได้แก่  กลบหลุมเดิม-เติมกำลังซื้อ-รื้อโครงสร้างธุรกิจ  เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการขาดหายรายได้ของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการจ้างงานแรงงานในภาคบริการที่คาดว่าจะยังฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น เพราะหลังจากเกิดโควิดธปท.ประเมินว่า  รายได้จากการจ้างงานลดลง 2.6 ล้านล้านบาท และในปีหน้าตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวช้า ทำให้รายได้จากการจ้างงานหายไป 8 แสนล้านบาท  ขณะที่ วงเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท  เหลืออยู่ 2.47 แสนล้านบาท (ข้อมูลเดือน พ.ย.)

นอกจากนี้จะต้องผสมผสานมาตรการที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในรูปแบบของการช่วยออกค่าใช้จ่าย หรือ Co-payment ที่มี Multiplier กับเศรษฐกิจสูง ตลอดจนการช่วยเหลือและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจสามารถรองรับความเสี่ยง และแข่งขันได้ในยุค New Normal 

ด้านนโยบายการเงินคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง หลังคณะกรรมการนโยบายการเงินให้สัญญาณที่ชัดเจนว่าจะใช้นโยบายการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 0.5% ตลอดทั้งปี 

นายกิตติศักดิ์ กวีกิจมณี นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย  กล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ภาคธุรกิจจะทบทวนกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวและก้าวไปสู่ความเป็น winner ในอนาคต ด้วยการต่อยอดจากกระแสการพัฒนาในโลกยุค New Normal นำไปสู่การปรับโครงสร้างธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับการลงทุนรองรับ Green Economy 

การส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวมูลค่าสูงและยั่งยืนรองรับการเปิดประเทศ การยกระดับ Productivity ด้วยการปรับกลยุทธ์การบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ท่ามกลางกระแสการแย่งชิง Talent โลกที่เข้มข้นขึ้น การลงทุนต่อยอดจากเทคโนโลยีแห่งอนาคต 

นอกจากนี้ ธุรกิจดูแลสุขภาพอาจต้องปรับโมเดลกิจการให้รองรับสถานการณ์การอยู่ร่วมกับโควิด-19 ในระยะยาว หากธุรกิจสามารถจับกระแสและใช้ประโยชน์จากทิศทางดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ ก็จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้เร็วขึ้น และจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงของการระบาดของโควิด-19 รวมถึงปัจจัยความไม่แน่นอนอื่นๆ ที่อาจเข้ามากระทบเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่งขึ้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img