วันศุกร์, พฤษภาคม 3, 2024
หน้าแรกHighlight‘ธปท.’หวั่นสินเชื่อบุคคล-กลุ่มเปราะบาง ดันหนี้เสียพุ่ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ธปท.’หวั่นสินเชื่อบุคคล-กลุ่มเปราะบาง ดันหนี้เสียพุ่ง

ธปท.เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/66 แตะ 16 ล้านล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 90% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นหนี้เดิมอยู่แล้วไม่ใช่หนี้ใหม่ ห่วงสินเชื่อบุคคล-กลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1 ปี 66 พบยอดหนี้พุ่งแตะ 16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 90% ต่อจีดีพี ซึ่งตัวเลขหนี้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการขยายครอบคลุมผู้ให้กู้เพิ่ม 4 กลุ่ม ที่เป็นหนี้เดิมอยู่แล้ว ไม่ใช่การก่อหนี้ใหม่ โดยเฉพาะหนี้ กยศ. ที่สูงถึง 4.83 แสนล้านบาท กับหนี้สหกรณ์อื่น ๆ ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์อีก 2.65 แสนล้านบาท โดยเมื่อดูสัดส่วนหนี้ทั้งหมดแล้วแบ่งแยกตามประเภท จะพบว่าสัดส่วนหลัก 34% เป็นสินเชื่อบ้าน, 11% เป็นหนี้รถยนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ประกอบอาชีพด้วย 27% และ 28% เป็นสินเชื่ออื่นๆ เช่น กยศ.

ขณะที่จำนวนบัญชี-ยอดหนี้ของสินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน จากผลกระทบของโควิด ล่าสุด ได้ทยอยปรับลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ด้วยมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ดังนั้น หากหนี้ที่ก่อแล้วลูกหนี้นำไปใช้ต่อยอดให้เกิดรายได้ แล้วยังจ่ายหนี้ได้สถานการณ์ก็ยังไม่น่ากังวล แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่ามีกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิดมีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน

“สถานการณ์ทั้งหมดไม่ใช่จะกลายเป็นหนี้เสีย อย่างช่วงเมษายน พฤษภาคม ช่วงเปิดเทอมตัวเลขสินเชื่อรายย่อยก็ปรับเพิ่มขึ้น แล้วกลับมาจ่ายได้ ปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น จึงให้เจ้าหนี้ดูแลเป็นรายๆ สิ่งสำคัญคือลูกหนี้ต้องไม่กลัวการพูดคุย กับเจ้าหนี้ ตอนนี้ปัญหาหนี้ที่น่าห่วงที่สุด คือ สินเชื่อส่วนบุคคล ที่นำเงินไปใช้จ่ายที่ไม่เกิดรายได้” นางสาวสุวรรณี กล่าว

สำหรับแนวโน้มหนี้เสีย (NPL) ในอนาคต ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. มองว่า ตัวเลขหนี้เสียอาจปรับขึ้นบ้าง จากกลุ่มเปราะบางที่รายได้น้อย หรือรายได้ยังไม่ฟื้นตัว แต่จะไม่เห็น NPL Cliff (การก้าวกระโดดเหมือนหน้าผาสูง) ซึ่งยังเป็นปัญหาที่บริหารจัดการได้ สอดคล่องกับเรทติ้งเอเจนซี่ ที่ให้ความเชื่อมั่นประเทศไทย ว่าระบบธนาคารยังมั่นคง อีกทั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยจะทำให้ความสามารถการชำระหนี้ดีขึ้น

ทั้งนี้แนวทางแก้ปัญหา ธปท. จะดำเนินการใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.ใช้เกณฑ์ Responsible Lending กำหนดให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ เป็นธรรมตลอดวงจรหนี้ 2.กลไก Risk-based pricing ส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะกับความเสี่ยง และ 3.มาตรการ Macroprudential คุมหนี้ไม่ให้อยู่ในระดัยสูงเกินไป เป็นต้นเป็นต้น

ขณะที่ปัญหาสินเชื่อรถยนต์ ถือเป็นหนี้กลุ่มใหญ่สุด ที่เคยได้รับความช่วยเหลือ แต่รายได้ยังไม่กลับมา อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะกลายเป็นหนี้เสีย ตามพฤติกรรมของพอร์ตรถยนต์ เนื่องจากหลายครั้งมีการเลี้ยวงวด คือ การจ่ายบ้างบางงวด แล้วเดือนถัดไปเอาเงินไปหมุนจ่ายค่าอื่นๆ จากนั้นกลับมาผ่อนต่อไม่ให้เกิน 3 เดือน เพื่อไม่ให้รถถูกยึด

ข้อแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย อยากให้ลูกหนี้พิจารณาความจำเป็นในการใช้รถ กับความสามารถในการผ่อน หากผ่อนไม่ไหว แล้วไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถ อาจเลือกที่จะตัดหนี้ส่วนนี้ออกไปเพื่อลดภาระการผ่อนชำระ

สำหรับปัญหาหนี้ของ กยศ. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการหารือกันถึงปัญหาดังกล่าว มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ ปรับลดเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ลดลงไปค่อนข้างเยอะ ด้วยตัวฝั่งผู้ดูแลัองก็รับรู้ปัญหา และมีการออกกฎหมายเพิ่มเติม คิดว่าน่าจะทยอยเจรจากับนักศึกษาที่ทำงานไปแล้ว มีกำลังให้กลับมาจ่ายได้ จึงเชื่อว่าแนวโน้มอาจปรับตัวลดลงตามลำดับ ประกอบกับแต่ก่อนพอเป็นหนี้แล้วโดนเบี้ยปรับสูงมากๆ จ่ายไปหนี้ก็ยังไม่จบ จึงเกิดการผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นมาก

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img