วันเสาร์, พฤษภาคม 4, 2024
หน้าแรกHighlight“สันธนะ”ลั่นไม่กลัว“ชูวิทย์” ฟ้องมาเลยพันล้าน ถ้าไม่ผิดฟ้องกลับแน่
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สันธนะ”ลั่นไม่กลัว“ชูวิทย์” ฟ้องมาเลยพันล้าน ถ้าไม่ผิดฟ้องกลับแน่

“สันธนะ” หอบหลักฐานเต็มกระเป๋ากว่า 3 ใบโร่ร้องกระทรวงยุติธรรม โชว์เงินสด 6 แสนบาท เผื่อยื่นประกันตัวระหว่างทาง แย้ม 22 พ.ย.จะเดินทางไปศาลอาญาด้วยตัวเอง เพื่อดูคำฟ้องของ “ชูวิทย์”ลั่นไม่กลัวฟ้องมาเลยพันล้าน ไม่ผิดฟ้องกลับแน่


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 พ.ย. ที่ กระทรวงยุติธรรม นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการสันติบาล เดินทางมายื่นหนังสือเรื่องร้องเรียนต่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายหลังจากช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสันธนะ ได้เดินทางไปให้ถ้อยคำคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานจเรตำรวจ จากกรณีที่เคยร้องเรียน 3 นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มูลเหตุเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับอิทธิพลที่ผิดกฎหมาย จำนวนเงิน 300 ล้านบาท

นายสันธนะ กล่าวว่า ใครจะพูดอย่างไร หรือ นายชูวิทย์จะพูดถึงตนยังไงก็แล้วแต่ ตนเจอเขามานับครั้งไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม คนเราอาจเลอะเลือนได้ สิ่งที่เขาพูดแต่ละเรื่องนั้น คนเราถึงขั้นจำไม่ได้เลยหรือว่าไม่เคยเจอกันมาก่อน อย่างตอนปี พ.ศ.2557 ที่หอประชุมกองทัพบกเทเวศร์ตนมีโอกาสได้เจอนายคนนี้จะๆตรงนั้น เนื่องจากตนไปตามคำสั่ง คสช. พอบังเอิญได้เจอจึงถามว่า “คุณหรือเปล่าที่นำชื่อของผมให้ คสช.” ปรากฏว่าเขาไม่ตอบ ไม่เถียง” จากนั้นมือสั่น หยิบบุหรี่จุดสูบ ถามหน่อยนี่น่ะหรือไม่รู้จักกัน ซึ่งครั้งหน้าหากจะมาเจอกัน ขอให้นายชูวิทย์ตอบสังคมให้ได้ก่อนว่าธุรกิจอาบอบนวด จำนวน 6 แห่ง มีการชำระภาษีให้รัฐหรือไม่ มูลค่า ส่วนคดีนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือ เสี่ยกำพล (อดีตเจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรียซีเคร็ท) กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการสอบปากคำ แต่เหตุใดถึงสอบแค่ช่วงที่นายกำพลเข้าซื้อกิจการ แต่ไม่มีการตรวจสอบย้อนหลังว่ามีการซื้อ-ขาย อย่างไร

นายสันธนะ กล่าวว่า วันนี้ตนได้นำหลักฐานเอกสารที่เชื่อว่าการโอนย้ายธุรกิจนั้นไม่โปรงใส แม้ว่าจะมีการเปิดเผยว่าจะมีการซื้อขายธุรกิจ แต่ไม่เปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ตนได้มาจาก นายโกลัก ที่เคยมีข้อขัดแย้งกับนายชูวิทย์ ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับที่กรมสรรพกรมีเช่นกัน และหากนายชูวิทย์บริสุทธิ์ใจจริง ก็ออกมาตอบคำถามสื่อ ในประเด็นเรื่องภาษีด้วย เพราะตนทราบว่านายกำพลยังมีชีวิตอยู่แม้จะหลบหนีคดีอยู่ก็ตาม
นายสันธนะ กล่าวอีกว่า การทำธุรกิจบริการ ถ้าหากทำธุรกิจโรงแรม เขาไปฝังกล้องหรือทำคลิปวิดีโอที่ตนพูดคุยไว้ตรงไหน ยังไงก็ขอให้เขาร่ำรวย ไม่ใช่เที่ยวออกมาพูดจากระทบกระทั่งคนนั้นคนนี้ ชาตินั้นชาตินี้ และการที่สังคมต้องไปฟังเขา เขามันตลกรายวัน อย่างกรณีนายจ้าวเหว่ย สังคมทราบคำตอบหรือยังว่านายจ้าวเหว่ยเกี่ยวอะไรกับทั้ง 5 คนตามที่เขากล่าวอ้าง ซึ่งพอไม่มีมูล ก็เปลี่ยนเป้าเล่นเป็นนายตู้ห่าว แล้วสิ่งที่ป้ายสี เช่น ยาเสพติด มันน่าเกียจมากตนเตือนว่า อย่าลืมว่าเขากำลังพิจารณาอยู่ว่าจะดำเนินการกลับแบบไหน เพราะตนทราบว่า เขาฟ้องแน่ ส่วนกรณีของสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอ ตนได้พูดคุยให้แล้วว่าสื่อทำหน้าที่นำเสนอตามหน้าที่ อีกทั้งบุคคล 5 คนที่เขากล่าวอ้าง ก็ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

“ส่วนกรณีที่นายตู้ห่าว มีเครื่องบินไพรเวทเจ็ท ตนขอถามว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เขาไม่มีสิทธิ์มีหรือ แต่ตนก็รู้วิธีการนำเสนอของเขาดี แต่วิธีการดังกล่าว ไม่ใช่ความถนัดของตน ส่วนที่จะไปฟ้องตนในวันที่ 22 พ.ย. ก็ไปฟ้องเลย แล้วทนายความใดก็ไม่ต้องมาพูดให้ตนระวังหนาว ตนไม่คุยด้วย และที่ใครด่าตนว่าชอบรีดไถ ก็ให้หาผู้เสียหายมายืนยันเพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็น ถ้ามีก็มาเลย ตนพร้อมให้หนึ่งล้านบาท” นายสันธนะ ระบุ

ประเด็นที่นายชูวิทย์ จะไปศาลอาญารัชดาเพื่อฟ้องตนในข้อหากลั่นแกล้งนั้น นายสันธนะ กล่าวว่า ไม่กลัวฟ้องได้เลยและที่เรียกเงิน 100 ล้านบาทในคดีแพ่งนั้น ตนบอกว่าเรียกมาเลย 1 พันล้านบาท ถ้าคิดว่าตนผิดจริง แต่หากไม่พบมูลความผิด จะฟ้องกลับแน่นอน

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมอีก ว่า นายสันธนะได้มีการเปิดกระเป๋าสีดำ 3 ใบ ซึ่งมีทั้งกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ด้วย และมีเอกสารอยู่ภายในให้สื่อดู โดยในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มีเอกสารและมีเงินสด จำนวน 6 แสนบาท วางไว้ด้านใน

ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามว่า เงินจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นหลักฐานหรือไม่ นายสันธนะ ตอบว่า ไม่ใช่แต่เป็นเงินส่วนตัวที่พกติดตัวมาตลอด เผื่อว่าตนเองและลูกน้องจะถูกดำเนินคดีฉุกเฉิน จะได้มีเงินไว้ประกันตัว ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวเพียงพอต่อคดีที่ตนเองถูกกล่าวหาอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งในขณะนั้น ตนไม่ได้ไปรายงานตัวจึงอยากมาถามกระทรวงยุติธรรมว่าตอนนี้ยังมารายงานตัวได้อยู่หรือไม่

นายสันธนะ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนอีกประเด็นที่ต้องการให้กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบถึง 3 เฒ่านักกู้ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาหลอกตนเองในขณะนั้นว่าจะไปกู้ชาติ แต่สุดท้ายกลับไปกู้เงิน ทำให้ตนตกเป็นจำเลย ในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อปี พ.ศ.2551 ซึ่งตอนนั้นตนได้นำเงินจำนวน 600,000 บาท ที่เป็นเงินส่วนตัวไปยื่นประกันตัวเอง และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน จึงอยากให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม ยื่นคำร้องเรื่องขอคืนเงินหลักประกันจำนวนดังกล่าว

ต่อมาเวลา 15.30 น. นายสันธนะ ออกมาเปิดเผยภายหลังเข้าพบ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯรมว.ยุติธรรมว่า เรื่องการรายงานตัวในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมินั้น ทางกระทรวงยุติธรรมบอกว่า ตนยังสามารถรายงานตัวได้ต่อ แต่ต้องมาตามกำหนดนัดหมาย ทั้งนี้ ตนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการยาเสพติดรายใหญ่และเกี่ยวข้องกับข้าราชการหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเรียบรับผลประโยชน์ ที่ตนรวบรวมเอาไว้ และเคยไปส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานแต่กลับไม่มีความคืบหน้า ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรมว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม ได้นัดหมายให้ตนนำข้อมูลดังกล่าวมามอบและพูดคุยเป็นการส่วนตัว

นายสันธนะ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับพรุ่งนี้ที่นายชูวิทย์จะไปยื่นฟ้องตน ตนพร้อมเดินทางไปรับคำฟ้องที่ศาลอาญารัชดาด้วยตัวเอง จะได้ไปรับกับมือ เพื่อจะได้ทราบคำฟ้องของเขา ซึ่งจะพยายามไปให้ทัน ถ้าหากเขารู้ว่าตนจะไป ก็กินกาแฟรอก่อนก็ได้.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img