วันเสาร์, พฤษภาคม 4, 2024
หน้าแรกNEWS“ซูเปอร์โพล”แนะรบ.ต้องสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ก่อนแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ซูเปอร์โพล”แนะรบ.ต้องสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ก่อนแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต

”ซูเปอร์โพล”เสนอรัฐบาลไม่ต้องรีบแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ขอให้สร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ก่อนที่เกือบทั้งประเทศอย่างน้อยกว่าห้าสิบล้านคนอยู่ในอันตรายบนโลกออนไลน์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) และศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยจอร์ชทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาเชิงวิพากษ์ เรื่อง กระจายเงินดิจิทัลให้ปลอดภัย เป็นผลสืบเนื่องจากผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการกระจายเงินดิจิทัล 10,000 บาทไปสู่มือประชาชนที่พบว่าทำให้เกิดความเชื่อมั่นสูงเกินกว่า 70 ขึ้นไปในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ความไม่ชัดเจนยังคงมีอยู่ในการใช้เทคโนโลยีกระจายเงินดิจิทัลว่าจะเกิดความปลอดภัยหรือไม่อย่างไร

ก่อนอื่น ข้อควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของประชาชนในการจะใช้เงินดิจิทัลมีอยู่ 2 ลักษณะของความเสี่ยงต่ออันตรายและประโยชน์การใช้เทคโนโลยีในเวลานี้คือ นอกระบบบล็อกเชน กัน ในระบบบล็อกเชน ที่ควรนำมาสู่การถกแถลงให้เห็นความชัดเจนในหมู่ประชาชนให้รับรู้และเข้าใจเกิดความตระหนักในความไม่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ฝ่ายการเมืองกำลังจะเอานโยบายกระจายเงินดิจิทัลมาให้ประชาชน (โปรดพิจารณาแผนภาพประกอบ)

1.การใช้เทคโนโลยีนอกระบบบล็อกเชน เช่น เป๋าตัง หมอพร้อม คนละครึ่ง เป็นต้น โครงการล่อใจประชาชนเหล่านี้นำประชาชนครึ่งค่อนประเทศเอาข้อมูลส่วนตัวที่เสี่ยงต่ออันตรายเข้าไปอยู่ในโลกไซเบอร์จนเสพติดทั้ง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงมากในหลายเรื่องเช่น คอลเซ็นเตอร์ เงินในบัญชีหายหมดเกลี้ยง การสวมสิทธิ์ และระบบล่ม เป็นต้น และมีความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลต่ำ ควบคุมยาก ทางออกคือ พัฒนาต่อยอดที่มีอยู่

2.การใช้เทคโนโลยีในระบบบล็อกเชน เป็นระบบเทคโนโลยีในโลกไซเบอร์ที่มีความปลอดภัย ความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล และความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองสูงกว่า ดังปรากฏในแผนภาพแนบ

จากการพิจารณาแผนภาพดังกล่าวจะพบว่า การกระจายเงินดิจิทัลออกไปยังหมู่ประชาชนทั่วประเทศตามนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนี้ย่อมจะทำให้เกิดความสุขแก่ประชาชนแต่สุขแล้วต้องปลอดภัยจากประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีด้วย อย่างไรก็ตามหากไล่เรียงทีละประเด็นสำคัญจากการใช้เงินดิจิทัลทั้งนอกระบบบล็อกเชนในอดีตและปัจจุบัน เช่น เป๋าตัง คนละครึ่ง หมอพร้อม เป็นต้น เปรียบเทียบกับการใช้เงินดิจิทัลในระบบบล็อกเชน จะเห็นได้ว่า

(1) การจะควบคุมให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดตามข่าวว่าให้มีการใช้จ่ายภายในพื้นที่ที่กำหนด การพิสูจน์สิทธิ์ ความปลอดภัย ความโปร่งใส การเกาะติดพฤติกรรมการใช้นำมาใช้ประโยชน์ออกนโยบายที่ชัดเจนตอบโจทย์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและช่วยเหลือลดความทุกข์ของประชาชนในเรื่องปากท้องเชิงพื้นที่ (Local-Area Base, LAB) ได้น้อยถึงปานกลางด้วยเทคโนโลยีนอกระบบบล็อกเชนแต่จะทำให้ทุกอย่างที่กล่าวมาได้มากด้วยเทคโนโลยีในระบบบล็อกเชน

(2) มีข้อดีร่วมกันระหว่างการกระจายเงินดิจิทัลสู่มือประชาชนในระดับมากของการใช้แอปพลิเคชั่นทั้งนอกระบบบล็อกเชนและในระบบบล็อกเชนคือพิกัดสถานที่ที่ใช้และเวลา

(3) ที่น่าเป็นห่วงคือ การสวมสิทธิ์และระบบล่มจะเกิดขึ้นได้มากจากการใช้แอปพลิเคชั่นนอกระบบบล็อกเชน แต่จะเกิดขึ้นได้น้อยถึงปานกลางถ้ามีการใช้ในระบบบล็อกเชน

ที่น่าพิจารณาคือ ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ที่ขอชักชวนให้ร่วมกันคิดคือ ถ้ารัฐบาลแจกเงินดิจิทัลในระบบบล็อกเชน รัฐบาลสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาประเทศในมิติของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองได้อีกระดับหนึ่ง เช่น การเกาะติดการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอย่างละเอียดลงไปถึงระดับรากฐานสุดของประชาชนแต่ละคนแต่ละชุมชนไล่ขึ้นมาถึงระดับประเทศโดยรวมอันจะนำไปสู่การออกแบบพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งความคลาดเคลื่อนของข้อมูลในเวลานี้สูงพลาดเป้าไปอย่างมากที่ยังไม่มีการสะสางความจริงและความไม่จริงของข้อมูลกัน

นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีในระบบบล็อกเชนยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองในอนาคตได้ เช่น การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ การแก้ไขปัญหาผลผลิตตกต่ำทางการเกษตร การแก้ไขปัญหาความยากจน การเลือกตั้ง การลงประชามติ และการติดตามการบริหารราชการแผ่นดินที่โปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล

ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มประชาชนชายขอบและผู้สูงอายุทั้งที่อยู่ตามแนวชายแดนและในจังหวัดใหญ่หลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่ชุมชนอับจนเทคโนโลยีรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศที่นับรายหัวแล้วคนละ 10,000 บาทก็จะเป็นไม่ต่ำกว่าหกหมื่นล้านบาทที่เงินก้อนนี้จะไปทางไหนจะจัดการอย่างไรยังไม่ชัดเจนนัก ทางออกคือ รัฐบาลรับโอนความเสี่ยงต่ออันตรายจากการใช้แอปพลิเคชั่นในโลกไซเบอร์ไปอยู่ที่หน่วยงานของรัฐ สถาบันการเงินการธนาคาร ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่มีความสามารถรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้สูงกว่าประชาชนทั่วไปตามสัดส่วน และใช้วิธีผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงกับการใช้บัตรประชาชนใบเดียวแต่มีรหัสประจำบัตรไปใช้จ่ายได้

ดังนั้น รัฐบาลยังไม่ต้องรีบ ขอให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ สื่อสารกับประชาชนและใช้โอกาสนี้เสริมสร้างความตระหนักในความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้การศึกษาด้านนี้แก่ประชาชนเพราะประชาชนเกือบทั้งประเทศอย่างน้อยกว่าห้าสิบล้านคนอยู่ในอันตรายบนโลกออนไลน์ ทางออกคือ ในระยะยาวที่รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินการคือ ออกกฎหมายเป็น พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้ดีขึ้น

การใช้เทคโนโลยีในระบบบล็อกเชน หากจะให้อธิบายให้เห็นภาพชัดเจนเข้าใจแบบง่ายขึ้นก็ขอให้นึกถึงภาพรถยนต์ที่วิ่งบนทางด่วนที่มีการบันทึกภาพความเคลื่อนไหวของรถยนต์ทุกคันและเห็นทุกความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งและสิ่งแปลกปลอมบนทางด่วน ใครทำอะไร อะไรเกิดขึ้นบนทางด่วนรู้เห็นได้ทุกสรรพสิ่งในรายละเอียดบนกระดานข้อมูล (Dashboard) ทำให้รู้และนำไปออกแบบให้เกิดความปลอดภัย ความโปร่งใสสูงและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้มาก อย่างไรก็ตาม ประชาชนไม่ได้ขับรถบนทางด่วนตลอดเวลาฉันใด ประชาชนก็ไม่ได้ทำธุรกรรมทุกอย่างในระบบบล็อกเชนฉันนั้น และแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในบล็อกเชนเองก็ไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกของความเป็นจริง

กล่าวโดยสรุป รัฐบาลควรจะทำทุกอย่างให้ประชาชนมีความสุขและปลอดภัยสูงที่สุดเท่าที่รัฐบาลจะทำได้ เพื่อทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยที่เสียไปเนื่องจากการตัดสินใจไปทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลกลับคืนมาและยังสามารถรักษาฐานเดิมทำให้ประชาชนไม่รู้สึกว่าฉันเป็นคนจนจึงได้สิทธิ์จากการกระจายเงินดิจิทัลและคนมีรายได้สูงก็ไม่คิดว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของพวกเขาไปให้กลุ่มคนที่ไม่ค่อยจ่ายภาษีเพราะรัฐบาลตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและคุ้มกับเงินภาษีในการต่อยอดเกิดความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความมั่นคงของชาติ ผ่านทาง คน เทคโนโลยี และกระบวนการในการพัฒนาประเทศและความอยู่ดีกินดีของราษฎร

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img