วันศุกร์, พฤษภาคม 24, 2024
หน้าแรกHighlight“ศิริกัญญา”ซัด“พท.”จัดงบฯ67มีปัญหา ข้องใจสมรู้ร่วมคิดหวังดึงงบกลางมาใช้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ศิริกัญญา”ซัด“พท.”จัดงบฯ67มีปัญหา ข้องใจสมรู้ร่วมคิดหวังดึงงบกลางมาใช้

“ศิริกัญญา” เทียบเอกสาร 2 ฉบับ จีดีพีไทยพุ่ง ฟ้องชัดเจนไทยไร้วิกฤติเศรษกิจ ซัด “พท.” จัดงบฯ 67 มีปัญหา สงสัยมีกระบวนการสมรู้ร่วมคิด หวังดึงงบกลางมาใช้
 


 
เมื่อวันที่ 3 ม.ค.67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วาระแรก น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯต่อที่ประชุมสภาฯว่า จากการพิจารณาเอกสารกว่าหมื่นหน้า เกิดคำถามมาในใจว่า วิกฤตเศรษฐกิจแบบใด ทำไมงบไม่เหมือนวิกฤติ ซึ่งไม่ใช่ฝ่ายค้านพูดเอง แต่เป็นตัวนายกฯที่ย้ำหลายครั้งหลายโอกาสว่า เศรษฐกิจไทยวิกฤติแล้ว ถ้าเกิดจริง งบฯจะเป็นตัวบอกว่า เรากำลังอยู่ในภาวะแบบใด แล้วจะจัดสรรงบฯ ตอบสนองอย่างไร ทั้งนี้จากรายงานเล่มขาวคาดม่วง เรื่องเศรษฐกิจและการคลังบอกว่า เศรษฐกิจปี 2566 จะโต 2% ปี 2567 จะโต 3.2% เงินเฟ้อระดับปกติ ขณะที่เอกสารงบประมาณฉบับประชาชน โดยสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับรองว่าเศรษฐกิจไม่วิกฤตแน่นอนเพราะอัตราขยายตัวของจีดีพีโต 5.4%
 
“จะเห็นว่าเล่มขาวคาดม่วง บอกว่าโต 3.2% แต่ฉบับประชาชนบอกกลับโต 5.4% ซึ่งสรุปว่าเป็นการเติบโตของจีดีพี ที่ไม่ได้รวมผลเงินเฟ้อ ทั้งที่ทุกประเทศเวลาคำนวณ จะใช้ผลจีดีพีที่ไม่รวมอัตราเงินเฟ้อ เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังจะบรรลุเป้าหมายจีดีพีโต 5% ในปีแรกที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการโกงสูตรอย่างนั้นหรือ ไม่มีประเทศไหนทำ ดังนั้นขอร้องว่าอย่าโกงสูตร เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขโต 3.2% หรือ 5.4% ดูอย่างไรก็ไม่วิกฤต” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว   
 
ทั้งนี้ ตามปกติปีที่เกิดวิกฤติเราจะทำงบฯขาดดุลเพิ่มขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ เพราะจะได้มีการกู้มาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชดเชยส่วนที่หายไป เมื่อดูที่งบฯขาดดุลปี 67 จะต้องกู้เพื่อชดเชยขาดดุล 3.6% ขณะที่จีดีพีบอกว่าจะโต 3.5% ซึ่งถือว่าสูงได้ ไม่ได้ชนเพดานเหมือนการกู้เมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤต แต่พอดูปีถัดไปๆ รัฐบาลทำแผนการคลังระยะกลางไว้ ก็ยังพบว่าขาดดุลเท่าเดิม จนดูไม่ออกว่า ปีไหนวิกฤตกันแน่ สรุปแล้วเราจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปจนถึงปี 2570 เลยหรือไม่ ทำไมรัฐบาลประมาณการณ์ว่าเราจะต้องทำขาดดุล 3.4% ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้ว่าจะทำพ.ร.บ.งบฯให้สมดุลภายใน 7 ปี หมายความว่าจะไม่กู้เลย แต่ใน 4 ปี แรกกู้ทุกปีปีละ 3.4% เป็นอย่างต่ำ ซึ่งถ้ามันวิกฤติก็ไม่ว่า แต่ถ้าจะวิกฤติต่อเนื่อง 4 ปี ตนก็ไม่ไหวเหมือนกัน
 
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประกาศเมื่อเดือนพ.ค.2566 ว่ามีแพ็คเกจใหญ่ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการแจกประชาชน 5 แสนล้านบาท และเติมกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 1 แสนล้านบาท  ซึ่งเงินที่ทำมาใช้จะนำมาจากเงินกู้ 5 แสนล้านบาท และงบฯรายจ่ายประจำปี 1 แสนล้านบาท แต่ดูที่งบฯ 2567 งบดิจิทัลวอลเล็ตล่องหน ไม่ปรากฏในนี้แม้แต่บาทเดียว ส่วนกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ จากที่ระบุว่า 1 ล้านบาท ก็เหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท ชัดเจนว่า ถึงจะมีการตัดลดงบฯที่ต้องใช้คืนหนี้ ธกส.แล้ว แต่ยังไม่สามารถหางบมาเติมส่วนนี้ให้ครบ 1 แลนล้านบาทได้ ตกลงเรายังเชื่ออะไรดีอีกกับคำพูดของนายกฯ ขณะที่พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่เหลือให้พึ่งอย่างเดียว จะสามารถผ่านได้หรือไม่ และสรุปยอดกู้ต้องเพิ่มเป็น 5.8 แสนล้านบาทแล้วหรือไม่ เพื่อทำตามสัญญา ซึ่งเสี่ยงสูงมากหากไม่สามารถออกพ.ร.บ.เงินกู้ได้ เท่ากับเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจทิพย์
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า รัฐบาลปัจจุบันมีเวลารื้องบฯ 67 ถึง 2 รอบ แต่คงเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ง่าย เพราะมีแผนซ้อนแผน ทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทำให้รัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายของตนเองได้ง่าย และยังมีมรดกของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่ไม่ยอมปฏิรูปงบประมาณ ทำให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณของตนเองได้ไม่ถึง 1 ใน 4 เพราะติดประเด็นรายจ่ายบุคลากร, ชำระหนี้ 4 หมื่นล้านบาท, เงินชดใช้เงินคงคลัง 1.1แสนล้านบาท, งบผูกพัน 3.6 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นเป็นผู้ดาวน์ และรัฐบาลนายเศรษฐา ต้องผ่อนต่อ
 
ทั้งนี้ การจัดสรรงบฯมีข้อผิดพลาดคือ เพื่อเงินชดใช้เงินคงคลัง 1.2 แสนล้านบาท เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาถูกนำมาใช้เพื่อจ่ายในส่วนของรายจ่ายบุคลากร เช่น เงินเดือน บุคลากร บำเหน็จ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งในปี 2567 รัฐบาลปัจจุบันกำลังจะทำผิดพลาดซ้ำรอย เช่น เงินบุคลากร ที่ควรตั้งไว้ 3.6 แสนล้านบาท กลับตั้งไว้ 3.3 แสนล้านบาท เงินบำนาญ 6,000 ล้านบาทที่ไม่ตั้งไว้ ซึ่งตนสงสัยในความผิดพลาดดังกล่าว เป็นเพราะความตั้งใจหรือไม่ โดยตนเคยถามกรมบัญชีกลาง ขอไปเพียงพอจะจ่าย แต่การจัดสรรไม่เพียงพอ ถือเป็นความตั้งใจที่ตั้งขาดเพื่อหาเงินชดเชยภายหลัง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ซ้ำๆ โดยไม่ตั้งงบฯที่เพียงพอ ซอฟท์พาวเวอร์ 5,000 ล้านบาท ไม่พบการตั้งไว้ คงต้องควักจากงบกลาง รวมถึงค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่ไม่ตั้งชดเชยไว้ สงสัยต้องดึงจากงบกลาง ที่ตั้งไว้ 9.8 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาแล้วเชื่อว่าจะไม่เพียงพอ ซึ่งการตั้งงบขาด ไม่มั่นใจว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดหรือไม่
 
สำหรับการประมาณการรายได้ เชื่อว่าจะคาดการผิดพลาด และจัดเก็บไม่ตรงตามเป้าหมาย เพราะนายเศรษฐา เคยระบุว่า จะไม่เก็บภาษีขายหุ้น คำถามคือ รายได้จากส่วนดังกล่าวกำหนดไว้ 1.4 หมื่นล้านบาท จะหาจากที่ไหน ตนไม่มีปัญหาสิ่งที่รัฐบาลทำ แต่เชื่อว่าจะกระทบต่อรายได้รัฐ ที่อาจจะหายไป 1 แสนล้านบาท หากรัฐบาลฝากความหวังไว้ที่โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรผิดพลาด ดังนั้นตนขอให้พูดความจริงกับสภาฯ และประชาชน
 
นอกจากนี้เรื่องหนี้สาธารณะ ก็ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อปี เพราะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าประมาณการจากกรอบการคลัง ตรงนี้จะต้องเบียดบังงบฯแต่ละปี ซึ่งยังไม่รวมหนี้ดิจิทัลวอลเล็ต และหนี้ที่ยืมจากรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐ 1 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลบริหารงานมา 3 เดือนใช้เต็มเพดานแล้ว ดังนั้นตนประเมินว่ารัฐบาลไม่เป็นมืออาชีพจากที่เคยมีชื่อเสียงว่าเป็นรัฐบาลที่หาเงินเป็น และมุ่งใช้กลไกนอกงบฯ โดยไม่สนใจกับภาระทางการคลัง ซึ่งตนมองว่าประชาชนต้องคิดใหม่กับฝีมือการบริหารราชการของพรรคเพื่อไทย.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img