วันเสาร์, พฤษภาคม 4, 2024
หน้าแรกHighlight‘ศาลรธน.’สั่ง‘ก้าวไกล’หยุดกระทำแก้112 ชี้ชัดเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ศาลรธน.’สั่ง‘ก้าวไกล’หยุดกระทำแก้112 ชี้ชัดเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน

“ศาลรธน.” วินิจฉัย “ก้าวไกล” หาเสียงแก้ม.112 เป็นการดึงสถาบันลงมา หวังผลชนะการเลือกตั้ง ให้ “สถาบัน” เป็นคู่ขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือลงมติกรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความอดีตพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลขณะนั้น ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่

ต่อมาเวลา 14.15 น. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ทั้งนี้ก่อนเริ่มอ่าน ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญรับคดีไว้พิจารณาเมื่อเดือนมิ.ย.66 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายทราบดีว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใช้ “ระบบไต่สวน” ศาลมีอำนาจค้นหาความจริง ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ และการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประการ ศาลได้ให้ “ผู้ถูกร้อง” ชี้แจง โดย “ผู้ถูกร้อง” ขอขยายระยะเวลา 2 ครั้ง ศาลได้ดำเนินกระบวนการพิจารณารวม 62 ครั้ง รับฟังความคิดเห็นของนักวิชาการ พยานผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นกลาง 4 ท่าน ได้แก่ 1.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี 2.ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ 3.รองศาสตราจารย์ดร.ภูริ ฟูวงศ์เจริญ 4.รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์

นอกจากนี้ศาลได้รับฟังข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการไต่สวนรับฟังข้อมูลรอบด้าน และให้คู่กรณีแถลงปิดคดี เมื่อครบถ้วนจึงได้มีคำวินิจฉัย

โดย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 25 มี.ค.64 และใช้การแก้ไขมาตรา 112 รณรงค์หาเสียง เป็นนโยบายพรรค เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเห็นว่า มาตรา 112 แม้เป็นประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็มีศักดิ์ทางกฎหมายในเรื่องของความมั่นคงแห่งรัฐ การแก้ไขเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ต้องคุ้มครองความมั่นคงราชอาณาจักร และการกระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นการกระทำผิดต่อความมั่นคงต่อรัฐด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายต้องการให้ไม่มีความสำคัญ และไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อความมั่นคงต่อประเทศ มุ่งหมายแยก “สถาบันกษัตริย์” และความเป็นชาติไทยออกจากกัน กระทบความมั่นคงของรัฐ อย่างมีความสำคัญ

นอกจากนี้ การที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียง เป็นการใช้นโยบายทางการเมือง เป็นการดึง “สถาบัน” ลงมา หวังผลชนะการเลือกตั้ง ให้ “สถาบัน” เป็นคู่ขัดแย้ง กลายเป็นฝ่ายรณรงค์ทางการเมือง ไม่คำนึงหลักการสำคัญในการปกครองที่ “สถาบัน” อยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง การเสนอแก้ไข ม.112 ดังกล่าว “มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ให้เสื่อมทรามลง” เพราะการใช้เสรีภาพต้องไม่ขัดศีลธรรมอันดี ต้องสอดคล้องกับสิทธิของบุคคลทางการเมือง ไม่กระทบความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย และไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของคนอื่น

เมื่อฟังได้ว่า มีการเรียกร้องให้ทำลายการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระหากษัตริย์เป็นประมุข ผ่านการซ่อนเร้นการ แก้ไขมาตรา 112 มีกระบวนการหลายช่วงติดต่อกัน หากปล่อยให้กระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

จึงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง วรรค 1 ให้เลิกการกระทำ จึงวินิจฉัยว่า ทั้งสองเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกกระทำ การพูด การเขียน การแสดงออกวิธีอื่นให้ยกเลิก ม.112 และไม่ให้แก้ไข ม.112 ที่ไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img