วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 2, 2024
หน้าแรกHighlight"เงินบาทอ่อน"ตัวเลขขอรับสวัสดิการการว่างงาน -ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐดีกว่าคาด
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทอ่อน”ตัวเลขขอรับสวัสดิการการว่างงาน -ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐดีกว่าคาด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” หลังดอลลาร์แข็งรับแรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียดีกว่าคาด

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.78 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 36.74-36.86 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ต่างก็ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ยในเร็ววันนี้ หลังอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงสู่เป้า 2% ได้ช้ากว่าคาด ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ในจังหวะการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของราคาทองคำ ก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทบ้าง

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ อีกทั้งรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ก็ออกมาไม่ได้สดใสนัก เหมือนในช่วงการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากบรรดาหุ้นกลุ่ม Defensive ทั้ง Utilities และ Healthcare Services ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.22%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.24% หนุนโดย รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ABB +6.3% และการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มการเงิน ท่ามกลางความหวังว่า ผลประกอบการหลายธนาคารจะออกมาสดใสเหมือนกับ Bankinter +5.3% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ไม่ต่างจากตลาดหุ้นอื่นๆ

ด้านตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง สู่ระดับ 4.63% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ออกมาสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดไปอีกสักระยะ จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ เราคงมุมมองเดิมว่า ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี อาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับปัจจุบัน จนกว่าตลาดจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ เนื่องจากเรายังคงประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3-4 ครั้งได้ ทำให้ เรามองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) และ Risk-Reward มีความคุ้มค่ามากขึ้น

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงออกมาดีกว่าคาด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวด์ขึ้นใกล้ระดับ 106.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.8-106.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่นั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ทว่า ราคาทองคำก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีโทนการสื่อสารไม่ต่างจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก่อนหน้า คือ เฟดจะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย จากแนวโน้มการชะลอตัวลงช้ากว่าคาดของอัตราเงินเฟ้อ

ส่วนอังกฤษ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนมีนาคม รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งอาจมีผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ BOE ที่ล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.90 บาทต่อดอลลาร์ และอาจอ่อนค่าไปถึงระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ท่ามกลางปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า ทั้งแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจยังคงมีอยู่บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม (ทั้งนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยอาจชะลอลงบ้าง หลังดัชนี SET ก็ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับหลัก) รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็ยังรีบาวด์แข็งค่าขึ้น จากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ที่อาจยังไม่คลี่คลายในเร็ววันนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE เพราะหาก ยอดค้าปลีกของอังกฤษ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า BOE ก็มีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสอ่อนค่าลงได้ คล้ายกับในช่วงวันพุธ 17 เมษายน ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ ออกมาสูงกว่าคาด จนทำให้ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ (และชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท)

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดค่าเงิน เพื่อหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเยนได้อ่อนค่าทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์

สำหรับเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.75-37.00 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img