วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlightเงินบาทพลิก“อ่อนค่า”หลังข้อมูล PMI สหรัฐฯดีกว่ายุโรป
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทพลิก“อ่อนค่า”หลังข้อมูล PMI สหรัฐฯดีกว่ายุโรป

เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังดอลลาร์แข็งเป็นผลมาจากข้อมูล PMI ภาคการผลิตและบริการสหรัฐฯ ดีกว่าของยุโรป หนุนตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาเปิดรับความเสี่ยงเพิ่ม

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และปริมาณการซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำปรับตัวลดลงตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่ารายงานดัชนี PMI ของฝั่งยุโรป และภาพรวมตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมา หลังจากที่เราได้ Call จุดกลับตัวของเงินบาท (มอง bottom ระยะสั้นที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่กลับมากดดันค่าเงินบาทนั้น มีทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์, โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากความกังวลสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งหากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังไม่เปลี่ยนแปลง เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าต่อ ทดสอบโซนแนวต้าน 34.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อาจรอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการเพิ่มสถานะ Long THB ได้ เช่นเดียวกันกับ ฝั่งผู้ส่งออกที่ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทำให้เราประเมินว่า หากสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่ได้ถึงขั้นวิกฤต จนทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์ไทยอีกรอบ ค่าเงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรง

ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม คือแนวโน้มเงินหยวนของจีน (CNY) ซึ่งจะขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยจะต้องรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยขนาดไหน หลังการประชุม Politburo

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงนี้ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.40% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มการเงินที่ได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Chevron +2.0% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (Tesla +3.5%, Alphabet +1.3%) หลังการรีบาลานซ์ดัชนี Nasdaq 100 ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่อย่างที่ตลาดกังวล

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นเพียง +0.06% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด แต่รายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ลดลงต่อเนื่องและแย่กว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของสเปนหลังการเลือกตั้ง ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ขณะที่ตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ไม่ได้ออกมาเลวร้ายนัก ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.90% อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 3.80%-3.88% ในช่วงคืนก่อนหน้า) อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวดังกล่าว ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.00% อีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับที่เรามองว่า downside risk จำกัดพอสมควรแล้ว

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐฯ ที่โดยรวม ดูดีกว่ารายงานดัชนี PMI ฝั่งยุโรป ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 101.4 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 101-101.5 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)

ส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,956 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง

สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board (Consumer Confidence) ซึ่งอาจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งอยู่

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอลุ้นรายงานรายงานภาวะสินเชื่อ (Bank Lending Survey) ในไตรมาส 2 ซึ่งเรามองว่า รายงานดังกล่าว จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ใช้พิจารณาถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากที่ ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +25bps ในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้

นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานจากบริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Microsoft, Alphabet เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายทำกำไรการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img