วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlight“สธ.”คิกออฟฉีดวัคซีนให้เด็ก 5-11 ปี ลุ้น“อย.”ไฟเขียวฉีดซิโนแวคเด็ก3ขวบ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สธ.”คิกออฟฉีดวัคซีนให้เด็ก 5-11 ปี ลุ้น“อย.”ไฟเขียวฉีดซิโนแวคเด็ก3ขวบ

“อนุทิน” นำทีมคิกออฟฉีดวัคซีนเด็ก 5-11 ปี ประเดิม 150 คน พร้อมร่นเวลาส่งวัคซีนเร็วขึ้น 1 เดือน และลุ้นอย.ไฟเขียวฉีดซิโนแวคในเด็ก 3 ขวบขึ้นไปเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.65 ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ การจัดฉีดวัคซีนโควิด 19 (ไฟเซอร์) สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี เป็นวันแรก ซึ่งเริ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.โรคอ้วน ที่มีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง 3.โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง 4.โรคไตวายเรื้อรัง 5.โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ 6.โรคเบาหวาน และ 7.กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสติดเชื้อและเสียชีวิตสูง โดยจัดฉีดที่โรงพยาบาล ฉีด 2 เข็ม ห่าง 3-12 สัปดาห์ ตามดุลยพินิจของกุมารแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งพิจารณาการฉีดให้เหมาะสมจากประวัติและอาการของผู้ป่วย ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปีที่ไม่มีโรคประจำตัวจะมีการจัดฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานต่อไป

ทั้งนี้เด็กอายุ 5-11 ปี ในไทยมีประมาณ 5.8 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงประมาณ 9 แสนคน โดยอยู่ในการดูแลของรพ.เด็กประมาณ 4 พันคน ส่วนการฉีดวัคซีนในวันแรกนี้จะดำเนินการฉีดให้เด็กกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด 150 คน โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เด็กที่เข้ารีบการฉีดไม่ค่อยงอแง

พร้อมกันนี้ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน เลข 8 เป็นเลขมงคล สถาบันเด็กแห่งชาติจึงได้มอบอั่งเปา 8 โครงการ ประกอบด้วย โครงการนมแม่ในเด็กป่วย  โครงการฮีโร่คนใหม่หัวใจแข็งแรง โครงการอยู่เพื่อยิ้ม โครงการหยุดลมชักให้ชีวิตได้ไปต่อ  โครงการโครงการการคัดกรองและบริบาลผู้ป่วยโรคหายาก โครงการวัคซีนป้องกัน covid-19 ในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อทารกแรกเกิดต้องรอด และโครงการสร้างเครือข่ายพัฒนาการเด็กโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติทั่วประเทศ

นายอนุทิน เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันดีที่จะได้ฉีดวัคซีนให้กับลูกหลานอายุ 5 – 11 ขวบ ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งหน้าตั้งตารอให้ได้วัคซีนที่ถูกต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเพิ่งเจ้ามาถึงประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวน 3 แสนโดส และจะเข้ามาสัปดาห์ละ 3 แสนโดส ต่อเนื่องจนครบจำนวนการสั่งซื้อทั้งหมด 10 ล้านโดส ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือนก็จะครอบคลุมทั้งหมด

อย่างไรก็ตามจากการหารือผู้บริหารไฟเซอร์ประเทศไทยในการประชุมหอการค้าไทย ระบุว่าจะเพิ่มจำนวนการจัดส่งในแต่ละสัปดาห์ให้มากกว่า 3 แสนโดส จากนี้จะมีการแก้ไขสัญญาต่อไป ซึ่งจะทำให้การส่งเร็วขึ้นมาอีก 1 เดือน ขณะเดียวกันขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมการแพทย์ กรมอนามัย เตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กเร็วที่สุด

ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขขอให้ความมั่นใจแก่พ่อแม่ผู้ปกครอง วัคซีนที่เราได้จัดมาให้ลูกหลานเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยมีมาตรฐาน วิธีการฉีดก็ผ่านคณะกรรมการวิชาการหลายท่านซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์แพทย์ที่มีความรู้ในเรื่องของการฉีดวัคซีน อาการข้างเคียงอาจจะเกิดขึ้นได้ อาจจะมีบ้างแต่ไม่ใช่สิ่งที่อันตราย ในช่วงแรกขอให้กรมการแพทย์ทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ปกครองให้ทราบถึงอาการข้างเคียง และการดูแล ทั้งนี้หวังว่าประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศแรกที่สามารถครอบคลุมการฉีดวัคซีนให้กับประชากรทุกช่วงวัย ซึ่งเราตั้งใจทำและทำให้มากที่สุด หากวันไหนมีวัคซีนไปถึงทารกแรกเกิดได้ก็พร้อมที่จะจัดหามาให้ลูกหลานทุกคนต่อไป เพื่อให้ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากที่สุด

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนได้รับรายงานจากนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ว่าวัคซีนซิโนแวคได้มายื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนการฉีดให้กับเด็กตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป ซึ่งเด็ก 3 ขวบส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน พี่น้องออกไปเรียนหนังสือมีโอกาสที่จะรับเชื้อจากข้างนอกเข้ามาติดได้ ยิ่งมีผู้สูงอายุอยู่ในบ้านก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง

ดังนั้นหากเราสามารถฉีดวัคซีนให้กับเด็กทุกกลุ่มวัยได้ก็จะเท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันได้อนุมัติให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคในเด็กได้หาก ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ฉีดในเด็กแล้ว หวังว่าวัคซีน ป้องกันโควิดในประเทศไทยจะสามารถฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปจนถึงผู้สูงอายุได้ อยากทราบผลข้างเคียงจากวัคซีนมีไข้ตัวรุมๆแต่ถ้าติดเชื้อเสี่ยงที่จะอาการรุนแรง เสือลงปอดจะอันตรายยากลำบากในการรักษา และเสียงแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงคุ้มค่าที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับขั้นตอนการฉีดวัคซีน โดยส่วนขั้นตอนการเข้ารับบริการ คือ มาถึงจุดบริการเข้ารับการตรวจคัดกรอง เพื่อประเมินสภาพอาการผู้ป่วย ซึ่งข้อควรระวังที่ควรชะลอหรือเลื่อนฉีดไปก่อน คือ 1. ขณะป่วยมีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ควรรักษาให้หายดีก่อน จนกว่าจะเป็นปกติ หรือ 2.เด็กที่มีโรคประจำตัวอาการรุนแรงที่อาจอันตรายถึงเสียชีวิต อาการไม่คงที่ ให้รักษาโรคประจำตัวให้ดีก่อน

หากสามารถเข้ารับการฉีดได้จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียน มีการเซ็นใบยินยอม จากนั้นจึงรอเข้าห้องฉีดวัคซีน และสังเกตอาการ 30 นาทีก่อนกลับบ้าน โดยอาการหลังฉีดวัคซีนที่ควรรีบพามา รพ.ใกล้บ้านทันทีเพื่อประเมินอาการ คือ 1.กลุ่มโรคหัวใจในช่วง 2-7 วัน ได้แก่ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย ใจสั่น ซึ่งตามสถิติมักพบในช่วงวันที่ 2 ของการฉีด แต่หากเกิดในวันแรกก็พามาได้เช่นกัน และ 2.กลุ่มอาการอื่น คือ ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ปวดหัวรุนแรง อาเจียนทานอะไรไมได้ เด็กซึมหรือไม่รู้สึกตัว.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img