“ศุภชัย” ซัด “สาทิตย์”และพรรคปชป.ไม่รู้จักบทบาทตัวเองเป็นฝ่ายนิติบัญญัติแต่ยื้อร่างกฎหมายกัญชา เพื่อให้มันเกิดความไม่ราบรื่นเอาไปเป็นข้ออ้างโจมตีพรรคภูมิใจไทย
เมื่อวันที่ 29 ก.ย.นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. …สภาผู้แทนราษฎร กล่าวตอบโต้ภายหลัง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ออกมาระบุในทำนองนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและครูดูแลพฤติกรรมของนักเรียนในสถานศึกษา ภายหลังมีคลิปเยาวชนเสพกัญชา ถือเป็นการโยนความผิดให้ผู้อื่นนั้น โดยนายศุภชัย ยืนยัน นายอนุทิน ไม่ได้โยนความผิดให้คนอื่น เพียงแต่ขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแลบุตรหลาน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ
นายศุภชัยกลาวต่อว่าที่ผ่านมา นายอนุทิน เซ็นสารพัดประกาศของกระทรวงสาธารณสุขออกมาดูแลเรื่องการใช้กัญชา แต่มันมีคนอย่างนายสาทิตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีกฎหมายเข้าสภามาให้พิจารณาหน้าที่ท่านคือ พิจารณาแต่ดันไม่คิดเปิดอ่าน ขยันเล่นการเมือง สร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหา ตอนนี้สังคมเขารู้แล้วว่าที่ดึงที่ยื้อการออก ร่างพ.ร.บ.กัญชาเพื่อให้มันเกิดความไม่ราบรื่นในการเดินหน้านโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ จะได้เอาไปเป็นข้ออ้างโจมตีพรรคภูมิใจไทย เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ห่วงประชาชนจริงต้องเร่งออกกฎหมายมาคุมการใช้กัญชา ไม่ใช่มาเสนอให้ชักเข้า ชักออก ต้องมาตั้งเรื่องกันใหม่
“ภาพเด็กดูดกัญชาที่เป็นดราม่า เห็นมีอยู่คลิปเดียว แล้วก็โดนตำรวจจัดการแล้ว ตอนนี้คนขายหนีหัวซุกหัวซุน แต่เอาไปพูดกันจนเหมือนสูบกันทั้งประเทศ ทุกโรงเรียนมีกลิ่นเขียวคลุ้ง ทั้งที่ความเป็นจริงยังมีคนจำนวนมากปลูกไว้รักษาโรค เป็นสมุนไพร ท่านไม่พูดถึงเลย ไปตีแต่คลิป คลิปเดียว ถ้ามันสูบจนสังคมล่มสลายแบบที่นายสาทิตย์พูด ขอถามว่าตอนนายสาทิตย์เดินออกจากบ้าน ได้กลิ่นกัญชาไหม ถามใจท่านก่อน ถ้าเทียบกัน ปัญหาจากการกินเหล้า สูบบุหรี่มากกว่าหรือไม่ เมาแล้วขับตายกันไปกี่ศพ ทำไมท่านไม่ห่วง หรือท่านห่วงเรื่องกัญชา เพราะมันทำโดยพรรคการเมือง ท่านเลยต้องไปขัดขาเขา”นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องขอขอบคุณคือพรรคประชาธิปัตย์ของท่านส่งความเห็นมาแล้ว ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีอยู่ในรายงานของกรรมาธิการแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกระบวนการต่างๆ มันล่าช้าไปแล้วเช่นกัน จากนี้ต้องดันเรื่องเข้าไปใหม่ เสียเวลา เสียโอกาสท่านรู้แก่ใจว่าทำอะไรลงไป คิดดูว่าถ้าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน หากท่านตัดสินใจดันให้ร่างกฎหมายไปต่อ แล้วไปพิจารณาในสภาแบบรายมาตรา แต่ท่านกลับร่วมกันมีมติให้ถอนร่างพ.ร.บ.ออกจากระเบียบวาระ ซึ่งเมื่อเสนอเรื่องเข้าไปใหม่ต้องไปถูกบรรจุเป็นวาระใหม่ท้ายร่างพระราชบัญญัติอื่นที่ขยับขึ้นไปที่สุดก็จะล่าช้าไป แทนที่จะมีกฎหมายมาบังคับใช้โดยเร็วเพื่อคุ้มครองสังคม
