วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlight“โรม”แฉ‘ตั๋วตำรวจ’วิ่งเต้น-ไม่โปร่งใส! “นายกฯ”ท้าเปิดหลักฐานซื้อขายเก้าอี้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“โรม”แฉ‘ตั๋วตำรวจ’วิ่งเต้น-ไม่โปร่งใส! “นายกฯ”ท้าเปิดหลักฐานซื้อขายเก้าอี้

“โรม” อภิปรายเรียกแขก ชำแหละโยกย้ายตำรวจ ไม่เป็นธรรม ข้ามหัวอาวุโส เจอประท้วงวุ่นวาย ลั่นทำหน้าที่ครั้งนี้ “อันตรายที่สุดในชีวิต ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวนับจากนี้” ด้าน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ออกโรงยัน แต่งตั้งตร.ยึดหลักเกณฑ์ ย้ำไม่เคยรับเงินซื้อขายตำแหน่ง ท้าให้เปิดหลักฐาน ข้องใจซักฟอกมีอะไรแอบแฝงหรือไม่

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.64 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่า สาเหตุที่ต้องอภิปรายทั้งสองคน เนื่องจากบริหารราชแผ่นดินล้มเหลว และไม่โปร่งใสที่มีต่อการบริหารราชการตำรวจ จนกลายเป็นที่ซ่องสุ่มกลุ่มที่จะกอบโกยยศและตำแหน่งไว้กับตนเองและพวกพ้อง ตั้งแต่สมัยพล.อ.ประวิตร กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่ปี 57 มีการปล่อยปละละเลย ให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้ามาบงการการแต่งตั้งโยกกย้ายตำแหน่ง จนก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์และการใช้เส้นสายในวงการตำรวจ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์เข้ามากำกับดูแลด้วยตนเอง ก็ยังปล่อยให้คนเหล่านั้นลอยนวลต่อไป ทำให้วงการตำรวจเพิกเฉยต่ออาชญากรรม กระทำกับผู้บริสุทธิ์ เปิดบ่อนไม่ว่า ค้ายาไม่สอบ เจอเจ้าพ่อน้อมนอบ แต่เจอม็อบสู้ตาย

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทำให้เป็นเวทีของคนฝั่งรัฐบาลและตำรวจมาพูดคุยตัดสินใจร่วมกันในงานของตำรวจ รวมถึงการโยกย้าย แต่กลับละเลยการดูแลปัญหา จนเกิดปัญหาเรื่องตั๋วตำรวจ และมีการทำหนังสือราชการ เป็นตั๋วจากคนที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอสนับสนุนการขอรับตำแหน่งให้กับนายตำรวจบางนายข้ามหน่วยงาน ถามว่าอาศัยกฎหมายอะไร เพราะการแต่งตั้งมีขั้นตอนตามกฎระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว ถามว่าพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรรับทราบเรื่องนี้หรือไม่ รวมทั้งการเลื่อนขั้นนายตำรวจบางนายที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก.ตร. ทำให้คนทำงานเสียกำลังใจและทำลายระบบคุณธรรมของตำรวจ นอกจากนี้ยังมีการโอนย้ายตำรวจ 1,319 นายไปเป็นข้าราชการประเภทอื่นที่ไม่สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมี 66 นายถูกลงนามคำสั่งโดยผบ.ตร.ให้ไปปรับทัศนคติ ทำให้เหลือ 873 คน ตนถามว่าทำไมต้องไปลงโทษคนที่เขาไม่พร้อมด้วย

“ในการทำหน้าที่ส.ส. ผมรู้ว่าครั้งนี้เป็นการทำหน้าที่อันตรายที่สุดในชีวิต แต่เมื่อประชาชนเลือกมาแล้วก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผมไม่รู้ว่าผลจากการทำหน้าที่ในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่า 3 วันข้างหน้า มีอะไรรออยู่ ไม่รู่ว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังพูดแทนประชาชนได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่เสียใจที่ได้ทำหน้าที่ของผมในวันนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาที่นายรังสิมันต์อภิปรายได้มีการพูดพาดพิงถึงบุคคลภายนอกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะพล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผบช.ก. จนทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง และนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่สลับกันเป็นประธานประชุม ต้องคอยกำชับเป็นระยะว่า ห้ามพาดพิงถึงบุคคลภายนอก และขอให้ทำตามระเบียบข้อบังคับการประชุม หากยังมีการพูดพาดพิงบุคคลภายนอกอีก จะไม่อนุญาตให้อภิปรายต่อ ระหว่างนั้นก็มีส.ส.พรรคพลังประชารัฐหลายคน ลุกขึ้นประท้วงขอให้อภิปรายในประเด็น อาทิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. น.ส.ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ที่ขอให้ประธานที่ประชุมพิจารณาไล่คนไม่ทำตามระเบียบข้อบังคับออกจากห้องประชุม ขณะที่ส.ส.ฝั่งฝ่ายค้านหลายคนก็ประท้วงการทำหน้าที่ของประธานที่ประชุมด้วยเช่นกัน

ต่อมา พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า จากที่ได้รับฟังการชี้แจงของสมาชิก ขอขอบคุณในข้อมูลที่ได้มอบให้ แต่ในช่วงที่ตนนั่งเป็นประธาน ก.ตร. ได้ทำตามระเบียบของ ก.ตร. และตามกฎหมายทุกอย่าง จึงยืนยันว่าเป็นไปตามขั้นตอนของการดำเนินการทุกอย่าง อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีใครได้อะไร สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของ ก.ตร. จะพิจารณาคนของตัวเอง ใครมีความสามารถอย่างไร ยืนยันว่าทุกอย่างทำตามขั้นตอน ทำตามระเบียบและกฎข้อบังคับของก.ตร. และในส่วนครม.ที่ได้รับมอบหมายให้

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ว่า ตนรับฟังข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงเช้าในหลายเรื่อง ยืนยันว่าการทำอะไรก็ตาม ต้องดูขั้นตอน รู้กฎหมายและดูวิธีการรวม ทั้งหลักปฏิบัติและขั้นตอนการปฏิบัติในการทำงาน หลายคนในที่นี้ก็เป็นตำรวจ แต่อาจไม่เคยปฏิบัติงานในหน้าที่ระดับที่สูง ในการเข้าไปพิจารณาในคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ขอชี้แจงว่าสำหรับเรื่องหนังสือสนับสนุนการแต่งตั้ง ข้าราชการตํารวจระดับสารวัตรที่เสนอต่อ ผบ.ตร. นั้น ก็เป็นหนังสือสนับสนุนการพิจารณาขอแต่งตั้งที่จะมาจากหน่วยไหนก็ได้ โดยอยู่ในดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจจะรับไว้พิจารณา หรือไม่รับพิจารณาก็ได้ ส่วนการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่มีการยกเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นั้น ก็มีการเสนอผ่านผบ.ตร.ขึ้นมา โดยต้องเป็นการพิจารณาความรู้ความสามารถความประพฤติประสบการณ์และการรับราชการ รวมทั้งเหตุผลอันสมควรและความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามความรู้ความสามารถพิเศษเฉพาะทาง และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ผู้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาโดยพิจารณาจากผลงานที่ปรากฏด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การแต่งตั้งที่ผ่านมา ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเป็นไปตามพ.ร.บ.ตำรวจ 2547 และกฎของก.ตร.ที่ได้ให้อำนาจไว้ทุกประการ ซึ่งเป็นส่วนที่มีการกล่าวหาว่า ตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ยืนยันว่าเราให้โอกาสในกรณีที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง สามารถร้องเรียนและร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาขึ้นมาได้ หรือผ่านก.ตร. ที่มีคณะอนุกรรมการการร้องทุกข์ ดังนั้นตำรวจส่วนใหญ่ก็มีความพอใจการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของรองนายกฯและตน ไม่ใช่ว่าใช้อำนาจแล้วไม่ให้โอกาส แต่เป็นเรื่องของอนุกรรมการพิจารณา เพราะไม่ใช่ตนนั่งหัวโต๊ะแล้วสั่งได้ทั้งหมด เพราะทุกอย่างเป็นไปตามมติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเคยพูดไปแล้วว่ามี 3 ระดับ ตนเข้า ไปเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วน ก.ตร. ในการแต่งตั้งตำรวจชั้น “นายพล” ซึ่งมีคณะกรรมการมาจากหลายฝ่าย อีกทั้งคิดว่าจากการประชุมที่ผ่านมาและจากการประสบด้วยตนเอง ที่เข้าไปดูแลเห็นมีข้อเสนอดีๆ ทั้งนั้น และบางครั้งเสนอขึ้นมาคณะกรรมการก็ไม่ได้เห็นชอบทั้งหมด แต่ต้องผ่านการตรวจสอบคัดกรองเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันวาระประจำปีจะมีการแต่งตั้งทดแทนข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ลาออก ปลดออกและเสียชีวิต นอกจากนี้ก็มีอยู่แล้วในการแต่งตั้ง 33 เปอร์เซ็นต์ในส่วนของอาวุโสที่มีการแบ่งไว้อยู่แล้ว หากมองว่าอาวุโสอย่างเดียวก็คงไม่พอต้องมองความเหมาะสมด้วย อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าเราได้มีการกระจายอำนาจลงไปหลายระดับ สุดแล้วแต่ผู้แทนในระดับชั้นยศพิจารณาอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะเสนอขึ้นมาแล้วได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งสิ้น

“การไปบอกว่าใครเสียเงินเสียทอง ทั้งรองนายกฯและผม ก็บอกแล้วว่าให้มาที่ผมหรือรองนายกฯ เลยก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเข้ามาร้องเรียน แต่มีการพูดจาภายนอก ผมก็เกรงว่าเดี๋ยวก็จะเป็นการหลอกเอาเงิน แอบอ้างอะไรทำนองนี้ ดังนั้นบอกมาเลยใครเสียเงิน ผมประกาศไปแล้วหลายที หลายปีที่ผ่านมาจะบอกว่าใครจะมีใบเสร็จ ซึ่งการทุจริตด้วยการมีทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้รับและผู้ให้ ผู้เรียกและผู้เสนอ แต่การจะอ้างว่าผมกับรองนายกฯได้ประโยชน์ ผมอยากจะถามว่าผมได้ประโยชน์จากที่ไหน มีหลักฐานหรือยัง ถ้าพูดแบบนี้มันก็ลอยลมกันอยู่แบบนี้ พูดได้หมด และรายชื่อทั้งหมดที่เอามาให้เห็น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ารายชื่อเหล่านี้มันเป็นยังไง บางรายชื่อเป็นรายชื่อที่เปิดเผย เพื่อให้ตำรวจรับทราบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มคุณสมบัติที่เหมาะสมหรือไม่ และทุกหน่วยในทุกระดับจะรู้ เพื่อจะได้ตรวจสอบก่อนนำมาเสนอคัดกรองในกานแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง ถึงไม่ใช่เรื่องลับอะไรทั้งสิ้น ทุกคนก็จะรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน”นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า บัญชีรายชื่อแรกที่จะเข้ามาพิจารณานั้น บัญชีแรกคือความเหมาะสมและประกอบด้วยอาวุโส จะหัวหรือท้ายตาราง ก็คือกลุ่มที่เหมาะสมที่ถูกเสนอเข้ามาเพื่อเข้าสู่การพิจารณา ดังนั้นการจะเชื่อไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ต้องเห็นใจองค์กรตำรวจ เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกำลังพลกว่า 2 แสนคน เราต้องทำงานด้วยความถูกต้องและด้วยกฏหมาย เพราะการดูแลองค์กรขนาดใหญ่นั้นไม่ง่าย จึงต้องใช้หลักการของกฎหมาย ส่วนประเด็นที่อภิปรายว่าการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ซื้อขายตำแหน่งนั้น ย้ำว่าตนได้บอกหลายครั้งแล้วว่า ให้ร้องเรียนเข้ามา หลายคนก็มีการร้องเรียนเข้ามาในคณะกรรมการอุทธรณ์ แต่ไม่มีคนรับสารภาพเลยว่าจ่ายเงินให้ใคร แล้วมาบอกว่าทั้งหมดมาส่งที่ตนเองและรองนายกฯ ยืนยันว่าไม่มีด้วยความสุจริตของตน ยืนยันได้ว่าไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออะไรก็แล้วแต่

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงประเด็นการจัดตั้งหน่วยงานในพระองค์ที่เรียกว่า “ตำรวจมหาดเล็กรักษาพระองค์” ว่า เป็นการปรับย้าย ปรับโอนเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติงานใน หน่วยงานดังกล่าว ที่จัดตั้งมาเพื่อถวายงานใกล้ชิดในการดูแลถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติด้วย จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือก คัดสรรและสอบถามทัศนคติอะไรต่าง หากไม่ผ่านหรือไม่เหมาะสม ก็ยังปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่เดิมไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นเพื่อความสง่างาม ดังนั้นที่มีคนบอกว่า ทำไมต้องมีการไปตรวจขาโก่งไม่โก่งนั้น ก็เป็นการแสดงออกต่อสังคมภายนอกในการถวายงานซึ่งเรื่องเหล่านี้ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว จึงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ต้องเข้มงวดพอสมควร ย้ำว่าพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรมให้มากที่สุดในเรื่องของการอำนวยความยุติธรรม การตรวจสอบการรับเงินร้องเรียนร้องทุกข์ ซึ่งเรามีการร้องทุกข์มาจากพลเรือนประชาชนมากมายและนำมาสู่การแก้ปัญหา แต่การบริหารส่วนราชการขนาดใหญ่ต้องเอากฎหมายและหลักการมาทำความเข้าใจ

“ผมไม่อยากให้การพูดจาวันนี้เสียหายแล้วก็หลายๆ อย่าง ทั้งสังคม ประชาชน ก็ทราบดีว่าความมุ่งหมายหลายๆอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดมุ่งหมายไปเพื่ออะไร เพราะมีการพูดถึงว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้แบบนี้ ผมว่ามันไม่ใช่มั้ง เพราะคนที่ทำความผิดหลายๆคดีเขาก็ไม่ได้พูดแบบนี้ เขาก็ไม่ได้ประกาศว่าจะโดนจับ 3 เดือนข้างหน้า ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนจับหรือเปล่า มันอยู่ที่การกระทำของท่าน แต่การที่ท่านพูดวันนี้มันมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นหรือเปล่า อย่างที่สมาชิกหลายๆ คนประท้วง ผมเห็นว่าทุกคนก็พยายามจะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด และทำยังไงไม่ให้กฎหมายเสียหาย ไม่ทำให้องค์กรเสียหาย เพราะเป็นองค์กรที่ดูแลประชาชนต้องมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเสมอ แต่จะทำอย่างไรเราจะเอาคนไม่ดีออกไปให้มากที่สุด”นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า ไม่อยากให้ทุกคนเอาเรื่องต่างๆ มาปนกันไปมา เพราะเกรงว่าสังคมจะสับสน จึงขอให้มีความเชื่อมั่น เพราะตนได้ให้แนวนโยบายเหมือนที่รองนายกฯให้ไปแล้ว คือไม่ว่าจะทหารหรือตำรวจต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งของประชาชนให้ได้ในทุกโอกาส ซึ่งหลายอย่างพิสูจน์ทราบมาแล้ว ในส่วนที่ยังไม่ดีเราก็แก้ไขกันไป ซึ่งคนดีหรือไม่ดีอยู่ที่กฎหมาย กฎระเบียบ ที่จะแยกแยะคนเหล่านี้ออกมาเอง

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img