วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlight“ซูเปอร์โพล”ชี้ปชช.หนุน“พท.-พรรคร่วม”ต้องให้โอกาสรัฐบาลทำงานไปก่อน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ซูเปอร์โพล”ชี้ปชช.หนุน“พท.-พรรคร่วม”ต้องให้โอกาสรัฐบาลทำงานไปก่อน

“ซูเปอร์โพล”เผยผลสำรวจ เรื่องหนุนไม่หนุนรัฐบาล พบประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนให้รัฐบาลได้ทำงานไปก่อน เพื่อจะได้ทำตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.66 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล (SUPER POLL) และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์ชทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)และในบทบาทผู้แทนภาคประชาชนในกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เปิดเผยผลการศึกษา เรื่อง หนุน หรือ ไม่หนุน รัฐบาล กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)รวมจำนวน 1,093 ตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติ ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม พ.ศ.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

เมื่อสอบถามถึงการหนุนหรือไม่หนุน พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.3 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต้องการให้โอกาสปล่อยรัฐบาลทำงานไปก่อน เพราะมาตรการแจกเงินช่วยเกษตรกร และเพราะนโยบายแจกเงินหมื่น เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 43.7 ไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เพราะปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพสูง ภัยออนไลน์ โจรมิจฉาชีพไซเบอร์ ยาเสพติด หนี้นอกระบบ หนี้ในระบบ เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ เมื่อแบ่งเป็นกลุ่มชายและกลุ่มหญิง พบว่า ทั้งชายและหญิงเกินครึ่งคือ ชายร้อยละ 53.4 หญิงร้อยละ 58.6 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล แต่เมื่อแบ่งออกตามช่วงอายุ พบว่าคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่หรืออายุน้อยกว่า 20 ปีร้อยละ 70.3 และคนช่วงอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 50.0 ไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ในขณะที่คนอายุ 40 – 49 ปี ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.0 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลและคนสูงอายุ เช่น กลุ่มคนอายุ 50 – 59 ปีร้อยละ 56.6 และคนอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 56.3 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล

ผศ.ดร.นพดล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อแบ่งตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มรายได้น้อย คือ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.9 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล แต่กลุ่มรายได้มากกว่า 35,000 บาทขึ้นไปต่อเดือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.8 ไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเพราะความไม่ชัดเจนของนโยบายและมาตรการจากรัฐบาลที่ควรจะมีอะไรจับต้องได้ตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกกลุ่ม ชดเชยความรู้สึกว่ารัฐบาลกำลังเอาใจคนบางกลุ่มมากเกินไปโดยเฉพาะกลุ่มคนที่คิดว่าตนเองจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่นและถูกรัฐบาลนำเงินภาษีหรือเงินกู้ของรัฐบาลที่เป็นภาระของคนทั้งประเทศไปช่วยเหลือคนเฉพาะกลุ่มอย่างไรก็ตาม ผลสำรวจตอกย้ำว่า คนรุ่นใหม่ยังไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลสะท้อนได้จากกลุ่มนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.5 ไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล แต่มีกลุ่มค้าขายอิสระ กลุ่มคนว่างงาน และกลุ่มเกษตรกร รับจ้างทั่วไป

ส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 65.4 ของกลุ่มค้าขายอิสระ อาชีพส่วนตัว ร้อยละ 65.2 ของกลุ่มว่างงานและร้อยละ 59.9 ของกลุ่มเกษตรกร รับจ้างทั่วไปที่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐร้อยละ 52.2 ไม่หนุน แต่ พนักงานเอกชน ร้อยละ 52.1 หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา กล่าวว่า จากผลการศึกษาครั้งนี้พบประเด็นสำคัญคือ ปัจจัยที่ทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาลเป็นเพียงแค่เส้นบางๆ นั่นคือ ประชาชนให้โอกาสปล่อยรัฐบาลทำงานไปก่อนมากกว่าผลงานที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมรัฐบาลจึงควรเร่งทำเป็นชุดโครงการ ครบทุกมิติออกเป็นแพ็กเกจเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนบนหลัก 3 หลักคือ หลักของการรวบรวมทรัพยากรหน้าตักของรัฐบาลทั้งภายในส่วนราชการและนอกส่วนราชการ หลักของกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ในการรวบรวมทำอย่างถูกต้อง และหลักของการกระจายทรัพยากร ผลประโยชน์ บริการและความปลอดภัยทั้งต่อผู้ให้และประชาชนผู้รับ เพราะผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยังไม่หนุนรัฐบาล เลือกตั้งใหม่พรรคก้าวไกลก็จะชนะอยู่ดีและกำลังขยายตัวไปถึงท้องถิ่นท้องที่ทั่วไทยอีกด้วย เพราะรัฐบาลยังขาดคนที่ใช่และมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ชนะการเลือกตั้งที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่หนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพลและนักวิชาการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยบวกที่หนุนรัฐบาลจึงเปราะบางแต่มีบางตัวจับต้องได้ที่น่าพิจารณาทำต่อทำเสริมอย่างปลอดภัย เช่น มาตรการแจกเงินหมื่น มาตรการแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเช่นเกษตรกร และผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ทั้งผู้ขายและผู้บริโภค รวมถึงมาตรการบริการประชาชนในทุกมิติของชีวิตที่มีความปลอดภัยทางไซเบอร์เพราะประชาชนทั้งประเทศอยู่บนโลกออนไลน์จึงเสี่ยงสูงกว่า ปัญหายาเสพติดที่มีประชาชนบางส่วนเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและหนี้นอกระบบ หนี้ในระบบ

ดังนั้นรัฐบาลน่าจะหันมาให้ความสำคัญสูงสุดต่อการป้องกันและปราบปรามโจรไซเบอร์มิจฉาชีพไซเบอร์เป็นวาระแห่งชาติบูรณาการทุกหน่วยงานราชการและเอกชนทำงานร่วมกันโดยปรับประยุกต์ใช้หลักความ ปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ได้มาตรฐานเช่น NIST ของสหรัฐอเมริกา ISO 27000 ISO 31000 และกฎหมาย GDPR ของยุโรป และปรับปรุงกฎหมาย PDPA ของประเทศไทยให้ลงไปถึงการเยียวยาประชาชนผู้เสียหายทางไซเบอร์ได้รับการชดเชยความเสียหายและได้รับความปลอดภัยแท้จริงบนหลักของ CIA คือความลับและเชื่อถือได้ของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องแท้จริงของข้อมูล (Integrity) ความสามารถเข้าถึงบริการและการใช้ประโยชน์ข้อมูล (Availability) พร้อมกับการให้สิทธิการสงวนสิทธิ (Authentication) และการป้องกันการปลอมแปลง หลอกหลวงประชาชน (Non-Repudiation)ในความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ขอฝากไปยังพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างทั่วถึง

“รัฐบาลและทุกภาคส่วนก็จะสามารถร่วมกันขับเคลื่อนประเทศบรรลุเป้าหมายสำคัญสูงสุด 3 เป้าหมายคือความมั่นคงของชาติ การปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ชาติและความอยู่เย็นเป็นสุขอย่างปลอดภัยของประชาชน ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเร่งประกาศของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนเร็ววันนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับคือรัฐบาลโดยพรรคร่วมรัฐบาลจะครองใจประชาชนทุกกลุ่มที่ครั้งหนึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเคยเสียไปจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดและช่วงการจัดตั้งรัฐบาลให้กลับมีฐานสนับสนุนขยายกลุ่มและมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพลกล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img