วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกNEWS"อนุฯการเมือง" ระดมรับฟังความวิชาการ ชงโมเดลเลือก ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“อนุฯการเมือง” ระดมรับฟังความวิชาการ ชงโมเดลเลือก ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้ง

“อนุฯการเมือง” ระดมรับฟังความเห็นฝ่ายวิชาการ ชงเสนอโมเดลเลือก ส.ส.ร. ส่วนใหญ่หนุนให้มาจากการเลือกตั้ง ที่ไม่ซับซ้อน หนุนใช้โมเดล ส.ส.ร.40

วันที่ 4 ธ.ค.2566 เวลา 12.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาการจัดทำข้อเสนอระบบเลือกตั้งและแนวทางการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง ในกมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาฯ โดยอนุกมธ. ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานในการประชุม ได้เชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังความเห็น

โดยนายพริษฐ์ กล่าวว่า การศึกษาโมเดล ส.ส.ร.ไม่ใช่ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะต้องใช้รูปแบบ หรือที่มาของส.ส.ร. แบบใด แต่การศึกษาที่เกิดขึ้นเพื่อต้องการให้ ส.ส.ร.มีความหลากหลาย ยึดโยงกับประชาชน สร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงให้ ส.ส.ร.ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญภายในเวลาที่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประชาธิปไตยสำหรับข้อเสนอแรกให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และส.ส.ร.ตัวแทนพื้นที่ ส่วนที่มีข้อกังวลต่อการมีส่วนร่วมของผู้เชี่ยวชาญ และกลุ่มหลากหลายทางสังคม มีข้อเสนอให้เพิ่มผู้เชี่ยวชาญ ทำหน้าที่กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ และส่งให้ ส.ส.ร.ชี้ขาดก่อนนำเสนอต่อประชาชน ส่วนข้อเสนอที่สองกำหนดให้ ส.ส.ร.มาจากองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ตัวแทนพื้นที่ คือการเลือกตั้งจากประชาชน, ตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์ และตัวแทนกลุ่มเฉพาะ หรือกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งอาจใช้ระบบเลือกตั้ง เช่น รูปแบบการแบ่งเป็นกลุ่มจังหวัด เป็นต้น เบื้องต้นอนุกมธ. เห็นว่า ควรใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ในต่างจังหวัดจะให้จำนวนส.ส.ร.ต่างกัน ตามจำนวนประชากร

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ส่วนรูปแบบเลือกตั้งตามที่อนุกมธ. พิจารณา คือ ทางเลือกแรกใช้การแบ่งเขตเลือกตั้ง ประชาชน 1 คน สามารถเลือก ส.ส.ร.ได้ 1 คน หรือทางเลือกสอง ประชาชนสามารถโหวตส.ส.ร.ได้ตามจำนวนที่เขตเลือกตั้งนั้นกำหนดให้มี ส.ส.ร. และทางเลือกสาม ให้ประชาชนเลือกผู้สมัคร ส.ส.ร. กี่คนก็ได้ตามที่ตนเองเห็นชอบ หรือยอมรับ ส่วนผู้ชนะจะอยู่ในลำดับที่ 1-3 เป็นต้น นอกจากนั้นจะมีบทกำหนดผลประโยชน์ทับซ้อน คือห้าม ส.ส.ร.ลงเลือกตั้ง เป็น สส. สว. องค์กรอิสระในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3-5 ปี

ด้านนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา กรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ และ อดีตส.ส.ร.40 กล่าวว่า สนับสนุนการใช้รูปแบบของที่มาของ ส.ส.ร.40 ที่มี 99 คน และมีกรอบเวลายกร่างรัฐธรรมนูญ 240 วัน ดังนั้นการกำหนดจำนวนดังกล่าวเหมาะสม ไม่เสียงบประมาณมาก และเป็นประชาธิปไตยที่ดี ทั้งนี้สำหรับที่มาของส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งนั้นไม่ควรเป็นระบบซับซ้อนหรือพิศดาร เพราะคนไปใช้สิทธิจะสับสน

นายพงษ์เทพ กล่าวต่อว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตนมองว่าต้องมีคณะทำงาน 2 ชุดคือ กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับแก้ไขตามการรับฟังความเห็นของประชาชน เมื่อ ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ควรเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็น โดยรัฐสภาไม่มีสิทธิบอกว่ารับหรือไม่ แต่ตนมองว่ากรณีที่รัฐสภาให้ความเห็น และชี้ว่ามีข้อบกพร่องผิดพลาดใดจะเป็นประโยชน์ ส่วนการปรับหรือไม่ขึ้นอยู่ ส.ส.ร. จากนั้นจึงส่งไปออกเสียงประชามติ ส่วนกรอบเวลาทำรัฐธรรมมนูญใหม่เห็นว่า 240 วันเหมาะสม

“ด้านผู้เชี่ยวชาญ หรือกรรมการควรเป็น ส.ส.ร. ถือว่าเป็นประโยชน์ เพราะจะเป็นพวกเดียวกัน ไม่รู้สึกว่าเป็นคนละพวก และได้รับฟังความเห็นที่แลกเปลี่ยนกัน เกิดความเข้าใจในเนื้อหา ผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญ หากจะเป็นประโยชน์ต้องเป็น ส.ส.ร.ด้วย แต่การส่งให้ ประชาชนเลือกจะปวดหัว หากให้สมัครได้ มีคนสมัคร 2,000 ชื่อคนเลือกที่เป็นประชาชนจะเลือกไม่ไหวแน่นอน หากเสนอผู้เชี่ยวชาญ อาจมีรูปแบบมาจากตัวแทนฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล” นายพงษ์เทพ กล่าว

ขณะที่ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวสนับสนุนให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง แต่ต้องจัดระบบเลือกตั้งให้เหมาะสม เช่น ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง และคำนึงถึงสัดส่วนของประชากรในแต่ละพื้นที่เพื่อให้เป็นตัวแทนของประชาชนร่วมเป็น ส.ส.ร. ขณะเดียวกันการออกแบบรัฐธรรมนูญไม่ควรมีเนื้อหาที่ยาวเกินไป

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img