วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกNEWSสภาฯ รับหลักการร่างกม.ติดดาบ ป.ป.ท.ปราบโกง "วิโรจน์" ฟาดจนท.รัฐยอมให้จีนเทาสวมปลอกคอ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สภาฯ รับหลักการร่างกม.ติดดาบ ป.ป.ท.ปราบโกง “วิโรจน์” ฟาดจนท.รัฐยอมให้จีนเทาสวมปลอกคอ

สภาฯ รับหลักการร่างกม.ติดดาบ ป.ป.ท.ปราบโกง “สมศักดิ์” ย้ำเป็นการปรับปรุงงานฝ่ายบริหารให้ได้มาตรฐาน ด้าน “วิโรจน์” เสนอร่างประกบ อัดยับ ประเทศไทยเต็มไปด้วยมาเฟีย ธุรกิจ ฟาดจนท.รัฐกระดิกหาง-ยอมให้จีนเทาสวมปลอกคอ จี้รื้อกฎหมายใหม่ เจอทุจริตจับฟันทันที

วันที่ 20 ธ.ค. 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ต่อมาได้พิจารณาพ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ

โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทน ครม. แถลงหลักการและเหตุผล ว่า เป็นการปรับปรุงการทำงานของฝ่ายบริหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงหน้าที่อำนาจและการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 เพื่อเป็นการปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประพฤติมิชอบ เป็นการตรวจสอบการกระทำความผิดการทำหน้าที่ของรัฐทุกมิติ ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานที่ไม่ควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความน่าเชื่อถือของภาครัฐโดยเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ ที่จากเดิมสามารถเอาผิดเกี่ยวกับทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น เป็นครอบคลุมความผิดวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนการประพฤติมิชอบ ปรับปรุงกฎหมายให้มีมาตรฐาน

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เสนอร่างพ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทำนองเดียวกันด้วย โดยแถลงหลักการและให้เหตุผล ว่า ประเทศไทยยังมีภัยร้ายคอร์รัปชันที่กดขี่ประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจได้ตามอำเภอใจ กลายเป็นเครื่องมือในการรังแก เรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน ทุกวันนี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพล มาเฟียข้ามชาติ จีนสีเทา ที่เอาเงินสกปรกของพวกมันมาติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ และมีเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มที่ไปรับประทานอาหารเม็ดของคนพวกนี้ เอาเงินของพวกมันมาซื้อตำแหน่ง สุดท้ายพอได้ตำแหน่งไป ก็ต้องยอมให้พวกนี้มาสวมปลอกคอ กระดิกหาง เป็นลูกสมุนคอยปกป้องอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจสีเทาของพวกมัน

นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้กระทั่งแก๊งขอทานในอดีต ท่านประธานก็คงจะเห็นว่าหัวหน้าแก๊งเป็นคนไทย แต่ทุกวันนี้ผู้มีอิทธิพลหรือหัวหน้าแก๊งที่เป็นคนไทยยังถูก Disrupt จากจีนสีเทาไปแล้ว ประธานทราบหรือไม่ว่าในแต่ละปีมูลค่าการทุจริตคอร์รัปชันมีคุณค่าถูกประเมินเอาไว้สูงถึง 3 แสนล้านบาท มาจากส่วนแรกคือการโกงแผ่นดิน ประเภทนี้คือการเรียกรับเงินทอนจากการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ การฮั้วประมูล การขยายสัญญาสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่เป็นธรรม การรับซื้อไฟฟ้าจากนายทุนโรงไฟฟ้าอย่างที่เกินจำเป็น เป็นต้น” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า อีกส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายกาจพอสมควร มาจากการรีดไถเก็บส่วย ไม่ว่าจะเป็นส่วยธุรกิจผิดกฎหมาย การซื้อขายตำแหน่ง การรีดไถประชาชนที่มาติดต่อราชการ ร่างกฎหมายที่ตนเสนอเพื่อให้ครอบคลุมการประพฤติผิดต่างๆของเจ้าหน้าที่รัฐคำว่าประพฤติมิชอบในกฎหมายปัจจุบัน นิยามให้ครอบคลุมเพียงแค่การใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในการเก็บรักษา เงินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ตนเสนอกฎหมายนี้ เพื่อให้ครอบคลุมการประพฤติผิดต่างๆของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นในร่างกฎหมายต้องกำหนดให้ ป.ปท.เริ่มไต่สวนภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ได้รับเรื่องและต้องไต่สวนและพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับ ตั้งแต่วันที่ได้รับเรื่อง และถ้าต้องการขยายเวลา รวมแล้วต้องไม่เกิน 4 ปี

“การทุจริตแตกต่างจากความผิดประเภทอื่น ไม่ใช่เรื่องที่ค้นหาพยานหลักฐานได้ง่าย ส่วนใหญ่พยานหลักฐานมักจะอยู่กับตัวผู้กระทำความผิด และผู้กระทำความผิดมักจะชำนาญในเรื่องดังกล่าวดีที่สุด และหลักฐานการประพฤติชั่วอย่างนั้น ก็มักจะผุดขึ้นมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวได้คนจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วสักระยะหนึ่ง ดังนั้น กฎหมายฉบับที่ผมและเพื่อน สส. เสนอ จึงกำหนดให้ ป.ป.ท. จะปฏิเสธการรับเรื่องเอาไว้ไม่ได้ แม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจากพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไปนานเพียงใดก็ตาม เจอเมื่อไหร่สอยได้เมื่อนั้น” นายวิโรจน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการอภิปรายของสภาฯ พบว่าไม่มี สส. คนใดคัดค้านในรายละเอียด ก่อนจะลงมติรับหลักการด้วยเสียงเอกฉันท์ 414 เสียง จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จำนวน 25 คนเพื่อพิจารณา

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img