วันพุธ, พฤษภาคม 1, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSหวังหลุด“ปมโกง-มีผลงาน” ลุ้น“อุ๊งอิ๊ง” ฝ่าแนวต้านไปถึงฝัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

หวังหลุด“ปมโกง-มีผลงาน” ลุ้น“อุ๊งอิ๊ง” ฝ่าแนวต้านไปถึงฝัน

เป็นไปตามความคาดหมาย ไม่มีใครใน พรรคเพื่อไทย (พท.) กล้าคัดค้าน กล้าลงแข่ง เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ทายาทคนสุดท้องของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ประกาศความพร้อม ในการนำทัพพรรคเพื่อไทยเข้าสู่ศึกเลือกตั้ง

หลังพรรคเพื่อไทยจัดประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อวันที่ 27 ต.ค. มีวาระสำคัญคือเลือกกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ หลังการลงมติ ก็เป็นไปตามคาด “แพทองธาร” ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ด้วย 289 คะแนน จากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน 290 คน ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 1 คน ส่วน รองหัวหน้าพรรค ได้แก่ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อได้ 292 คะแนน, “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” สส.เชียงราย และรมช.คลัง ได้ 291 คะแนน “โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย” สส.ชัยภูมิได้ 288 คะแนน, “จิราพร สินธุไพร” สส.ร้อยเอ็ด ได้ 290 คะแนน, “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม ได้ 285 คะแนน, “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” เลขานุการ รมว.คลัง ได้ 289 คะแนน

ขณะที่ตำแหน่ง เลขาธิการพรรค คือ “สรวงศ์ เทียนทอง” สส.สระแก้ว ได้ 290 คะแนน และ รองเลขาธิการพรรค ได้แก่ “ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์” สส.บัญชีรายชื่อ ได้ 290 คะแนน, “ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์” สส.บัญชีรายชื่อ ได้ 287 คะแนน, “ศรัณย์ ทิมสุวรรณ” สส.เลย ได้ 287 คะแนน, “ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์” เป็นเหรัญญิกพรรค ได้ 287 คะแนน, “ณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช” ที่ปรึกษา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เป็น นายทะเบียนพรรค ได้ 287 คะแนน และ “ดนุพร ปุณณกันต์” สส.บัญชีรายชื่อ เป็น โฆษกพรรค ได้ 290 คะแนน

สำหรับ กรรมการบริหารพรรค มี 9 คน ประกอบด้วย “ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” สส.กทม. ได้ 283 คะแนน, “วรวงศ์ วรปัญญา” สส.ลพบุรี ได้ 284 คะแนน, “พชร จันทรรวงทอง” สส.นครราชสีมา ได้ 286 คะแนน, “นิกร โสมกลาง” สส.นครราชสีมา ได้ 284 คะแนน, “ธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล” ได้ 287 คะแนน, “จเด็ศ จันทรา” ได้ 285 คะแนน, “พลนชชา จักรเพ็ชร” ได้ 287 คะแนน, “ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ” รองเลขาธิการนายกฯ ได้ 286 คะแนน และ “สรัสนันท์ อรรณนพพร” สส.ขอนแก่น ได้ 283 คะแนน

จากรายชื่อที่ปรากฏออกมา จะเห็นว่า มีเพียง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ที่มีอาวุโสมากที่สุด เมื่อเทียบกับ “กก.บห.รายอื่น” ซึ่งถือเป็นมือกฎหมายของพรรค แต่นอกเหนือจากนั้น ถือเป็น “คนรุ่นใหม่” ที่จะเข้ามาทำงานเคียงข้างกับ “อุ๊งอิ๊ง” เพื่อนำทัพสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) คว้าชัยชนะเหนือพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนเสียงตอบรับจากคนรุ่นใหม่ ซึ่งเริ่มจะมีตัวเลขสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ดังนั้นเพื่อทวงแชมป์ในการเลือกตั้งกลับคืนมา พรรคแกนนำรัฐบาลจึงต้องปรับตัวแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมการเข้าสู้ศึกเลือกตั้ง

จากนั้น “แพทองธาร” ได้แสดงวิสัยทัศน์หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ตอนหนึ่งระบุว่า เราผ่านอะไรมามาก เป็นพรรคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นพรรคที่ถูกกระทำมากที่สุดเช่นกัน ตนเองเติบโตมาในแวดวงการเมือง ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ขอบคุณนายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ได้เห็นถึงความตั้งใจ และอุดมการณ์ของท่าน ได้เรียนรู้ใกล้ชิดและเป็นแรงบันดาลใจในการดำรงชีวิต

“ดิฉันรู้ดีว่า ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่และสำคัญ โดยเฉพาะบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทุกวันนี้ดิฉันมั่นใจเรามีบุคลากรที่มีความสามารถ มีประสบการณ์มาตั้งแต่ไทยรักไทยจนถึงปัจจุบัน เราจะพัฒนาพรรคอย่างไม่หยุดยั้ง จากการเลือกตั้งที่ผ่านมาเราต้องเปลี่ยนวิธีคิด กรรมการบริหารชุดใหม่ต้องถอดบทเรียนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทำให้ดีขึ้น เพื่อนำพรรคเพื่อไทยกลับไปยืนในใจพี่น้องประชาชนในฐานะพรรคการเมืองอันดับ 1 อีกครั้งอย่างยั่งยืน” แพทองธาร กล่าว

“แพทองธาร” กล่าวต่อว่า มี 4 ข้อสำคัญที่ กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต้องทำคือ 1.การเปลี่ยนผ่านข้อมูลทั้งหมดไปสู่ระบบดิจิทัล เพื่อให้พรรคมีฐานข้อมูลในการพัฒนา 2.สร้างองค์กรแนวราบ เพิ่มการมีส่วนร่วมของบุคลากร 3.เราจะทำให้องค์กรพรรคเพื่อไทย เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีศูนย์ข้อมูลศูนย์วิจัย เพื่อพัฒนานโยบายได้ทันท่วงที ฝึกอบรมสมาชิกทุกระดับ ทั้งยุวสมาชิก และสมาชิกทั่วไปเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนในทุกมิติ และ 4.เป็นข้อที่สำคัญ เราต้องสร้างเครือข่ายครอบครัวเพื่อไทยให้แข็งแรง ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อรับฟังเสียงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สุดท้ายนี้จะเป็นสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอกกับตัวเองและทุกๆ คนว่า เราตายังคงดูดาว เท้ายังคงติดดิน ยืนหยัดอยู่ข้างประชาชนอย่างเข้มแข็งมั่นคง เพราะพรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน” แพทองธาร กล่าว

ฟังเป้าหมายหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคงชัดเจน ต้องการนำพรรคให้กลับมาเป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากมากนัก เมื่อตรวจสอบฐานเสียงพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ มีส.ส.อยู่เกือบเกินครึ่งของจำนวนสส.ทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช้เรื่องง่าย หากไปไล่ดูความนิยมของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นอกจากจะล้มบ้านใหญ่ได้ในหลายจังหวัด คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ก็ยังมีลำดับ1 ในหลายพื้นที่

ยิ่งประชาชนจำนวนไม่น้อย รู้สึกเห็นใจพรรคก้าวไกล ที่ได้ที่นั่งสส.มากที่สุด อยากได้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกฯ แต่กลับต้องผิดหวัง หลังพรรคเพื่อไทยย้ายขั้ว ไปจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนส่ง  ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป บรรดาโหวตเตอร์คนรุ่นใหม่ ออกมาเทเสียงให้พรรคก้าวไกลมากกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการบ้านข้อใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และทุกพรรคการเมืองที่จะลงสนามสู้ศึกในการเลือกตั้ง

แต่ต้องยอมรับ พรรคแกนนำรัฐบาลมีความพร้อมมากกว่าทุกพรรค ทั้งเรื่องทุนที่ใช้ในการเลือกตั้ง ซึ่ง “ตระกูลชินวัตร” ทำธุรกิจหลายอย่าง สามารถนำมาใช้เป็นทุนรอนในการทำงานการเมือง สถานะภาพพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล มีโอกาสสร้างความนิยม ในการผลักดันโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน เพราะใครก็ทราบว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำโครงการประชานิยม

อย่างนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านระบบดิจิทัล วอลเล็ต แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบรรดานักวิชาการ และหลายองค์กร แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อย ก็รอคอยนโยบายดังกล่าว ดังนั้นต้องรอดูบทสรุปของโครงการ ว่าจะแจกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป หรือจะเลือกแจกเฉพาะกลุ่ม จะเป็นพายุหมุน อย่างที่พรรคแกนนำรัฐบาลคาดหมายไว้หรือไม่  หรือบทสรุปจะออกมาในทางลบ อย่างที่ฝ่ายคัดค้านได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งอาจเป็นจุดตายของรัฐบาลก็ได้

นอกจากนี้ ในฐานะพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ยังอาศัยการเป็นฝ่ายบริหาร มอบหมายหน้าที่สำคัญให้ “แพทองธาร” ได้โชว์บทบาท ทั้ง รองประธานคณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (Soft Power) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนในหลากหลายวงการกำลังให้ความสนใจ เพราะเป็นการนำเอาวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ของประเทศ มาช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศ

รวมทั้ง ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อมาสานต่อ “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งถือว่า เป็นนโยบายที่สร้างความนิยมให้ “ไทยรักไทย” สมัยเป็นแกนนำรัฐบาล ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ซึ่งจะเห็นว่า งานที่ “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” มอบหมายให้ ล้วนแต่ช่วยสร้างบทบาทให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทำให้ได้รับการยอมรับจากสังคมแทบสิ้น แต่น่าสังเกตว่า “แพทองธาร” ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทในโครงการแจกเงินดิจิทัลฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยคงมองว่า เป็นเรื่องอ่อนไหว ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้ไม่กระทบกับภาพลักษณ์หัวหน้าพรรค ที่ต้องสร้างให้มีความพร้อมมากที่สุด ช่วงหาเสียงเลือกตั้งจะได้ไม่มีจุดอ่อน ให้ใครโจมตีได้ง่าย

คงต้องยอมรับว่า ด้วย “ดีลลับ” ที่ทำให้มีการจัดตั้ง รัฐบาลข้ามขั้ว พรรคเพื่อไทยโดดหนีพรรคก้าวไกล มาร่วมกับพรรคที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาก่อน อีกทั้ง “นายทักษิณ” ยังยอมเดินทางกลับมารับโทษในบ้านเกิดเมืองนอน โดยได้รับการพระราชทานอภัยโทษ เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี จากเดิมต้องรับโทษเป็นเวลา 8 ปี

นั่นหมายความว่า ภายในปีหน้าอดีตนายกฯจะได้รับอิสรภาพ สามารถเป็นที่ปรึกษาให้บุตรสาว ในการทำงานการเมืองอย่างเต็มที่ และมีความมั่นใจว่า “แพทองธาร” จะไม่ต้องเผชิญวิบากรรม เหมือนอย่างที่ตนเองเคยเจอมา

อีกทั้ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต้องการให้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นหัวหอกในการต่อสู้กับ “พรรคก้าาวไกล” ซึ่งมีแนวทางสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกทั้งพรรคการเมืองสีส้ม ยังสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามนิ้ว ที่มีแนวคิดในการปฏิรูปสถาบัน ถ้าจะหันไปพึ่งพรรคการเมืองอย่าง ประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ยังไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอในการต่อสู้กับพรรคสีส้ม จึงต้องฝากความหวังไว้กับพรรคแกนนำรัฐบาล

ซึ่งน่าจะทำให้ “นายทักษิณ” มีความมั่นใจ ยอมให้ “บุตรสาว” เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังจากเดิมมักใช้บริการ “นอมินี” แยกบทบาทบุคคลที่จะเข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร หากได้เป็นแกนนำรัฐบาล กับกรรมการบริหารพรรค เพื่อป้องกันกรณีถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เหมือนอย่างที่ “ไทยรักไทย” และ “พลังประชาชน” (พปช. ) ต้องเผชิญ ซึ่งใน “ดีลลับ” และเป้าหมายที่กำหนดไว้คือ จะไม่สนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ต้องไม่แตะต้องหมวดที่ 1 และ 2

แต่สำคัญที่สุดคือ ผลงานของรัฐบาลเศรษฐา และบทบาทของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล จะสร้างการยอมได้รับได้มากขนาดไหน โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายการแจกเงินผ่านระบบดิจิทัล วอลเล็ต การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้เป็นที่พอใจทุกฝ่าย การช่วยเหลือตัวประกันคนไทย ที่ถูกจับตัวไป ในระหว่างสงครามระหว่าง “ฮามาส” กับ “อิสราเอล” แม้ 2 เดือนที่ผ่านมา “เศรษฐา” จะเล่นบทเซลล์แมน เดินสายไปทำความเข้าใจกับต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ออกไปปฏิบัติภารกิจเดินสายไปจังหวัดต่างๆ เพื่อผลักดันนโยบาย และแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน

ขณะที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เมื่อถามถึง ความพอใจในบทบาท ผลงานของนายกฯเศรษฐา ในช่วง 2 เดือนที่ดำรงตำแหน่ง พบว่าตัวอย่าง ร้อยละ 36.87 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจร้อยละ 18.40 ระบุว่าพอใจมาก ร้อยละ 13.74 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 4.12 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ซึ่งถือว่า “เศรษฐา” สอบผ่าน ในการทำงาน 2 เดือนแรก  

จากนี้ต้องรอดูว่า หลังจากผ่านไป 1 ปี ยังจะได้รับการยอมรับเหมือนเดิมหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง “นายกฯเศรษฐา” กับ “ผู้มีอำนาจตัวจริง” จะยังหวานชื่นตลอดไปหรือเปล่า เพราะเคยมีบทเรียน สมัย “สมัคร สุนทรเวช” ซึ่งถูกทาบทามให้รับตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคพลังประชาชน” และคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง จนได้เป็นนายกฯ  แต่เมื่อ “นายทักษิณ” เห็นว่าสั่งการไม่ได้ ก็ไม่สนับสนุน ทำให้ “สมัคร” หมดโอกาสกลับมาเป็นนายกฯได้อีก

เหนือสิ่งอื่นใด จะมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งเคยเป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทย เวลาทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะหลายโยบายภายใต้โครงการประชานิยม ส่งผลให้นักการเมืองต้องรับกรรมอยู่ในคุก ทั้งจากโครงการรับจำนำข้าว บ้านเอื้ออาทร และอีกหลายโครงการ

ดังนั้นถ้ารัฐบาลเศรษฐาเกิดปัญหาทุจริตขึ้น นอกจากฝ่ายตรงข้ามจะไม่ปล่อยให้ลอยนวล องค์กรอิสระก็ต้องเข้ามาตรวจสอบ ชะตากรรมอาจซ้ำร้อยเดิม และก่อให้เกิดผลกระทบกับอนาคตทางการเมืองของ “แพทองธาร”

ดังนั้นเป้าหมายของ “อุ๊งอิ๊ง” ที่จะไปสู่ฝั่งฝัน ก้าวขึ้นสู่เบอร์หนึ่งของทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช้เรื่องง่าย ต้องฝ่าขวากหนาม เผชิญอุปสรรคมากมาย อีกทั้งการเมืองไทยมักมีปัจจัย ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น อะไรที่แน่ อาจไม่แน่ก็เป็นได้

……………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img