วันพุธ, พฤษภาคม 1, 2024
หน้าแรกNEWS‘ศาลปค.กลาง’พิพากษาเพิกถอนประกาศ กทม.เรื่องค่าโดยสาร‘รฟม.สายสีเขียว’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ศาลปค.กลาง’พิพากษาเพิกถอนประกาศ กทม.เรื่องค่าโดยสาร‘รฟม.สายสีเขียว’

ศาลปค.กลาง พิพากษาเพิกถอนประกาศ กทม.เรื่องค่าโดยสารโครงการรฟม.สายสีเขียว ชี้แม้กทม.มีอำนาจกำหนดค่าโดยสารแต่ต้องปฏิบัติตามมติครม.

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรุงเทพมหานครลงวันที่ 15 มค 64 เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ออกประกาศดังกล่าว ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ สสภาคภูมิใจไทยและพวกรวม 6 คนยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร(กทม.) และผู้ว่าฯ กทม.เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ขอให้ศาลฯมีคำพิพากษาเพิกถอนหรือยกเลิกประกาศเรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวลงวันที่ 15 ม.ค. 64 และให้สั่งระงับการดำเนินการใดๆตามประกาศฯคือการปรับขึ้นค่าโดยสารไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด

ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาดังกล่าวระบุว่า แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติรับรองให้กทม.ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระแต่การใช้อำนาจบริหารราชการและการจัดทำบริการสาธารณะของกทม.โดยผู้ว่าฯกทม.ก็ยังต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลตามหลักการกระจายอำนาจทางปกครองของรัฐ

ดังนั้นการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งแม้จะอยู่ในความรับผิดชอบของ กทม.และเป็นอำนาจของผู้ว่าฯ กทม.ที่สามารถกระทำได้ก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมิได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ใน กทม.เท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่เขตปริมณฑลและเป็นโครงการที่รัฐบาลกำหนดไว้ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกทม.และปริมณฑล นอกจากนี้ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนโดยรถไฟฟ้าสายอื่นๆอันเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์บรรเทาปัญหาการจราจรและเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้การจราจรติดขัดดังนั้นเพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนของรัฐเกิดการบูรณาการทางด้านการเดินรถให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในการเดินทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมของโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกทม.จึงต้องพิจารณาโดยภาพรวมให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ

ดังนั้นกทม.จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติครม. วันที่26 พ.ย 61 คือต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคมในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการมากเกินไปทั้งต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามความเห็นกระทรวงการคลังรวมทั้งพิจารณากำหนดค่าโดยสารให้เหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพของผู้ใช้บริการด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนคดีไม่ปรากฏว่าก่อนการดำเนินการออกประกาศเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกทม.โดยผู้ว่าฯกทม.ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ครม.มอบหมายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่กทม.อ้างว่าได้ปฏิบัติตามมติครม.วันที่26พ.ย.61แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำให้การของกทม.และผู้ว่าฯกทม.เป็นกรณีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานที่มีรมช.คมนาคมเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อทำการศึกษาบูรณาการเกี่ยวกับการรับโอนและบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยไม่ปรากฏว่ากทม.ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ครม.มอบหมายแต่อย่างใดข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่ระหว่างการพิจารณาคดีกทม.ได้ออกประกาศลงวันที่ 8 ก.พ. 64 ให้เลื่อนการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปก่อน และปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บค่า โดยสารตามประกาศพิพาทก็ตาม แต่กรณีก็ย่อมจะเห็นได้ว่าประกาศกรุงเทพมหานครฉบับลงวันที่ 8 ก.พ. 64 ดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการยกเลิกหรือเพิกถอนประกาศที่พิพาท ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเป็นเหตุแห่งคดีพิพาทจึงยังไม่หมดสิ้นไปการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายจึงต้องมีคำบังคับของศาล

ส่วนที่กทม.อ้างว่าการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้นกทม.มีภาระหนี้สินจำนวนมากที่ค้างจ่ายกับเอกชน อีกทั้งไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลหากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต้องหยุดชะงักจึงจำเป็นต้องออกประกาศผิดพลาดเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการนั้นเห็นว่า แม้ กทม.จะมีอำนาจตามกฎหมายในการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในส่วนของที่กทม.รับผิดชอบได้แต่เมื่อครม.มีมติมอบหมายให้กทม.ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคมเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการเกินสมควรเร่งรัดและพิจารณาการใช้ระบบตั๋วร่วมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดังนั้นการดำเนินโครงการรถไฟสีเขียวเฉพาะในส่วนนี้จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ภาระหนี้สินจำนวนมากที่อ้างนั้นอาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกัน เช่น การบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก การเจรจาต่ออายุสัมปทาน การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนผู้รับสัมปทาน การจัดทำร่างสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไข ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลและกทม.ต้องพิจารณาแก้ไขร่วมกันต่อไปโดยปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนโดยคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวมที่จะได้รับกับภาระหรือผลกระทบที่จะเกิดกับเอกชนประกอบกันด้วย.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img