วันพุธ, พฤษภาคม 1, 2024
หน้าแรกHighlightเศรษฐกิจเสี่ยงสะดุด! “กรุงไทย”ตั้งสำรองหนี้สูญกว่า 48.1%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เศรษฐกิจเสี่ยงสะดุด! “กรุงไทย”ตั้งสำรองหนี้สูญกว่า 48.1%

แบงก์กรุงไทยเดินหน้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง-เอสเอ็มอีต่อเนื่อง หลังต้นทุนธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น-เงินเฟ้อพุ่ง โชว์ไตรมาส 1/ 66 กำไรสุทธิ 10,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% รับพอร์ตสินเชื่อเติบโต พร้อมตั้งสำรองหนี้สูญ 48.1%

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย จากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายกลับเข้าสู่ ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้สภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อให้สามารถปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและ SME ที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น

สำหรับงบไตรมาส 1/66 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 10,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 24% จากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัว 18.8% จากพอร์ตสินเชื่อที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

รวมถึงการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานขยายตัวจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการแก่ลูกค้า ทำให้ Cost to Income Ratio เท่ากับ 38.70% ลดลงจากเดิมอยู่ที่ 41.25% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลตามฤดูกาลที่ Cost to Income Ratio ในไตรมาสอื่นจะสูงขึ้นกว่าไตรมาส 1

ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น 48.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน รวมทั้งเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ว่าจะเริ่มลดลงแต่ยังคงอยู่ระดับที่สูง และยังคงรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงที่ 183.2% เทียบกับ 179.7% เมื่อสิ้นปี 2565

พร้อมทั้งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) 3.22% ลดลงจากสิ้นปี  65เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้น 24.1% โดยกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 14.1% ทั้งรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัว 1.8% ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 13% ส่วนหนึ่งเนื่องจากในไตรมาส 4/65 มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล เช่น การส่งเสริมการตลาด ทั้งนี้ ตั้งสำรอง 7.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เพื่อยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ 183.2% เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ธนาคาร (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.55% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 19.75% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอ โดยมี Liquidity Coverage ratio (LCR) ที่ไม่ต่ำกว่า 180% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด

ในปี 66 ธนาคารดำเนินธุรกิจภายใต้ 7 ยุทธศาสตร์หลัก ตามแผนงาน 5 ปี (66-70) เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ภายใต้แนวคิด “มุ่งสร้างคุณค่า สู่ความยั่งยืน” เพื่อให้ธนาคารเติบโตอย่างมั่นคง ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุม ทั่วถึง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มุ่งสร้างโอกาสให้คนไทย ธุรกิจไทยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img