วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlightส่องความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ลงนามอีก 3 สัญญา
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ส่องความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ลงนามอีก 3 สัญญา

โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ลงนามอีก 3 สัญญาวันที่ 29 มี.ค.นี้ และระยะแรกเปิดให้บริการปี 70

โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพมหานคร–หนองคาย (รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน)  แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร–นครราชสีมา มีแนวเส้นทางโครงการผ่าน 5 จังหวัด มี 6 สถานี คือ สถานีกลางบางซื่อ ผ่านสถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา ซึ่ง 4 สถานีหลังเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูงที่ก่อสร้างใหม่ในโครงการนี้ รวมระยะทาง 253 กิโลเมตร

โดยแบ่งการก่อสร้างงานโยธาออกเป็น 14 สัญญา มีกรอบวงเงินรวมของโครงการ 179,412.21 ล้านบาท  โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างโยธาเมื่อเดือน ธันว่าคม 2560 สัญญาที่ 1 คือ สัญญา 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ระยะทาง 3.5 กิโลเมตรปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว

ทั้งนี้แหล่งข่าวจาก การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอยู่ 6 สัญญา ประกอบด้วยสัญญา 2-1 ช่วง สีคิว-กุดจิก การก่อสร้างมีความคืบหน้า 60% ขณะที่เหลืออีก 5 สัญญาที่ได้ลงนามในสัญญาไปเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2563 นั้นล่าสุดเอกชนเริ่มได้เข้าพื้นที่ก่อสร้างแล้ว

ซึ่งประกอบด้วย สัญญาที่ 3-2 งานโยธาสำหรับงานอุโมงค์ (มวกเหล็กและลำตะคอง) มูลค่า 4,279 ล้านบาท ดำเนินการ โดย บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) NWR สัญญาที่ 3-3 งานโยธาสำหรับช่วงบันไดม้า-ลำตะคอง มูลค่า 9,837 ล้านบาท ดำเนินการโดยบริษัท ไทยเอ็นยิเนียร์และอุตสาหกรรม จำกัด สัญญาที่ 3-4 งานโยธาสำหรับช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และช่วงกุดจิก-โคกกรวดมูลค่า 9,848 ล้านบาท ดำเนินการโดยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD

สัญญาที่ 3-5 งานโยธาสำหรับช่วงโคกกรวด-นครราชสีมา มูลค่า 7,750 ล้านบาท ดำเนินการโดย บริษัท กิจการร่วมค้าเอสพีทีเค จำกัด (ซึ่งประกอบด้วย บริษัท นภาก่อสร้าง จำกัด บริษัท ทิมเซคาร์ตาร์ เอสดีเอ็น บีเอชดีจำกัด และบริษัท บิน่า พูรี่ เอสดีเอ็น บีเอชดี จำกัด และสัญญาที่ 4-7 งานโยธาสำหรับช่วงสระบุรี-แก่งคอย มูลค่า 8,560 ล้านบาท ดำเนินการโดย บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL อย่างไรก็ตามทั้ง 5 สัญญานั้นคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จปี 66

ส่วนอีก 7 สัญญาที่เหลือ รฟท.จะเร่งดำเนินการลงนามในสัญญาภายในปี 64 โดยในวันที่ 29 มีนาคมนี้ เตรียมลงนามอีก 3 สัญญาวงเงินรวม 27,527 ล้านบาท ประกอบด้วย สัญญา 4-3 ช่วงนวนคร–บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 11,525 ล้านบาท, สัญญา 4-4 ศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงิน 6,573 ล้านบาท, และสัญญา 4-6 ช่วงพระแก้ว–สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. วงเงิน 9,429 ล้านบาท

ขณะที่สัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง–นวนคร ระยะทาง 21.80 กม. วงเงิน 8,626 ล้านบาท ผู้ชนะการประมูลได้ข้อสละสิทธิ์ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเรียกผู้ประกอบการที่เสนอราคาต่ำสุดเป็นอันดับที่ 2 มาต่อรองราคา หรืออาจจะประกวดราคาใหม่ ส่วนสัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ–พระแก้ว จ.อยุธยา ระยะทาง 13.30 กม. วงเงิน 9,913 ล้านบาท นั้นทางกรมศิลปากรแจ้งว่ารูปแบบบสถานีบดบังทัศนียภาพสถานโบราณทางประวัติศาสตร์จ.อยุธยา อาจจะต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้

ส่วนสัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กม. วงเงิน 18,000 ล้านบาทรอความชัดเจนออกแบบโครงสร้างในการก่อสร้างที่จะต่อเชื่อมกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 2/2564 หลังจากนั้นจะดำเนินการในขั้นตอนการประกวดราคาต่อไป

โดยในสัญญานี้คาดว่าจะต้องโอนงานในส่วนความรับผิดชอบของผู้ชนะการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่รับผิดชอบงานก่อสร้างตอม่อให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง ส่วนสัญญา 3-1 ช่วงแก่งคอย–กลางดง และช่วงปางอโศก–บันไดม้า ระยะทาง 30.21 กม. วงเงิน 11,000 ล้านบาทอยู่ในขั้นตอนขอการวินิจฉัยของศาลปกครองกลางว่าจะให้เอกชนที่ชนะการประกวดราคาดำเนินโครงการได้ หรือให้รฟท.ยกเลิกสัญญาแล้วเริ่มดำเนินการประกวดราคาใหม่

ทั้งนี้การดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะแรก ช่วงกรุงเทพฯ–นครราชสีมา นั้นคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จในปี 2567 จากนั้นจะเป็นการวางระบบระบบอาณัติสัญญาณ จัดหาขบวนรถ คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2569 ล่าช้ากว่าแผน 1 ปี จากเดิมกำหนดเปิดให้บริการในปี 2568

สำหรับการดำเนิน โครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย ระยะทาง 354.5 กิโลเมตร เชื่อมไทย-ลาว-จีน อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างโยธา และการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าทั้ง 2 ขั้นตอนนี้จะแล้วเสร็จภายในเดือน กรกฎาคม 2564 หลังจากนั้นก็จะยื่นต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อขออนุมัติ EIA หลังจากนั้นจะดำเนินตามขั้นตอนเสนอกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นประเมินกรอบวงเงินรวมของโครงการระยะที่ 2 ไว้เบื้อต้นที่ 252,347 ล้านบาท

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img