วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 2, 2024
หน้าแรกHighlight''เงินบาทแข็งค่า''หลังดอลลาร์อ่อน จับตายอดเปิดรับงานใหม่สหรัฐฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

”เงินบาทแข็งค่า”หลังดอลลาร์อ่อน จับตายอดเปิดรับงานใหม่สหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.12 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่า หลังดอลลาร์อ่อน ผู้เล่นตลาดเริ่มปิดความเสี่ยงหลังตัวเลข PMI ของสหรัฐฯ -จีนต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เกาะติดยอดเปิดรับงานใหม่สหรัฐฯ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย ปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ  36.12 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าในรอบเกือบ 1 เดือนนับจาก 8 ก.ค. ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอาจชะลอตัวลงมากขึ้น หลังจากล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) เดือนกรกฎาคม ของทั้งสหรัฐฯ และจีน ต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

สะท้อนภาพการชะลอตัวมากขึ้นของภาคการผลิตอุตสาหกรรม ซึ่งแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการผลิตดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนกังวลว่าความต้องการใช้พลังงานอาจลดลงตาม กดดันให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเกือบ -5% และยังส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวลดลง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28% ตามแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานด้วยเช่นกัน (Exxon Mobil -2.5%, Chevron -2.0%)

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทภาวะตลาดการเงินที่กลับมาระมัดระวังตัวมากขึ้น อาจกดดันให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง โดยเฉพาะในกรณีที่ นักลงทุนต่างชาติบางส่วนทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยบ้าง อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เพราะเงินดอลลาร์ก็ขาดปัจจัยหนุนที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ

อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นนี้ โซนแนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นผู้นำเข้าบางส่วน รวมถึง บริษัท MNC ญี่ปุ่นทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์หรือเงินเยนญี่ปุ่นบ้างในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้ส่งออกยังไม่รีบกลับมาขายเงินดอลลาร์และส่วนใหญ่ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วง 36.40 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โซนดังกล่าวพอจะเป็นแนวต้านในช่วงนี้ได้

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.00-36.20 บาท/ดอลลาร์

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.19% ท่ามกลางแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Equinor -2.9%, BP -1.9%) รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงหนัก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ยอดค้าปลีกของเยอรมนี (Retail Sales) ในเดือนมิถุนายน หดตัวถึง -1.6% จากเดือนก่อนหน้า สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวราว +0.2%

ทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของบรรดาเศรษฐกิจหลัก รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงและอาจเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมีนาคม (โอกาสราว 40%) ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 2.57%

 ซึ่งเราคาดว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสกลับมาผันผวนและปรับตัวขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงใกล้รายงานข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ของสหรัฐฯ เนื่องจากเฟดได้ย้ำชัดเจนว่า เงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจนโยบายการเงิน ซึ่งหากเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงชัดเจนหรือเร่งตัวขึ้น เฟดก็อาจไม่สามารถชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้  

ขณะที่ตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 105.4 จุด กดดันโดยแนวโน้มการชะลอตัวลงที่ชัดเจนมากขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงมุมมองของผู้เล่นบางส่วนที่คาดว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า

ทั้งนี้แม้ว่าเงินดอลลาร์รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงมาบ้าง และช่วยหนุนให้ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,788 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็ทยอยเข้ามาขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำบ้าง ทำให้ราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านได้

สำหรับวันนี้ตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ โดยจะเริ่มจาก ยอดเปิดรับงานใหม่ (Job Openings) ที่ตลาดคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงราว 11 ล้านตำแหน่ง และมากกว่าจำนวนผู้ว่างงานเกือบ 1.9 เท่า สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ตึงตัวมาก 

นอกจากนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการปรับนโยบายการเงิน หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะตัดสินใจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 1.85% เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img