วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกHighlightGC ทุ่ม 2 หมื่นล้านบ.ลุยลงทุนปี 2567 ปรับพอร์ตธุรกิจรองรับความเสี่ยงธุรกิจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

GC ทุ่ม 2 หมื่นล้านบ.ลุยลงทุนปี 2567 ปรับพอร์ตธุรกิจรองรับความเสี่ยงธุรกิจ

CEO GC “ดร.คงกระพัน” ประกาศทุ่มกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขยายลงทุนต่อเนื่องในปี 2567 พร้อมตั้งเป้าขายเม็ดพลาสติกจะโต 10% เพื่อรองรับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าศึกษาปรับพอร์ตธุรกิจใหม่เพื่อรับมือความเสี่ยงทางธุรกิจ

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายว่า ปริมาณการขายเม็ดพลาสติกในปี 2567 จะเติบโตขึ้น 10% จากปีนี้ที่มีปริมาณการขาย อยู่ที่ประมาณ 17 ล้านตัน โดยเป็นการเติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการคาดการณ์เศรษฐกิจโลก จะขยายตัว 2.9% ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณการขายในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯที่จะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้

“โดยเฉพาะธุรกิจในสายโอเลฟินส์ อย่างโพลิเอทิลีน (PE) ที่แม้จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นราว 2% แต่ก็มีความต้องการใช้เติบโตขึ้นกว่าโพลิโพรพิลีน (PP) ส่วนสายอะโรเมติกส์ ก็มีทิศทางที่ดี ทั้งเบนซีน (Bz) และพาราไซลีน (Px) อีกทั้งในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2566 นี้ วอลุ่มของ allnex มีทิศทางดีขึ้น ทั้งจากจีน อินเดีย ซึ่งคาดว่าจะดีต่อเนื่องในปี 2567 เพราะมีกำไรเข้ามาปีละประมาณ 300 ล้านดอลลาร์”ดร.คงกระพัน กล่าวและว่า สำหรับทิศทางราคาผลิตภัณฑ์นั้น ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ในส่วนของมาร์จิ้นปี 2567 คาดว่าจะดีขึ้นตามความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตัวโพลิเอทิลีน (PE) และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Products)

CEO GC กล่าวต่อว่า ในปี 2567 บริษัทฯคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนในโครงการต่อเนื่องประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่เหลือประมาณ 15,000 ล้านบาท ใช้สำหรับโครงการซ่อมบำรุง ซึ่งในปี 2567 จะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานมากเท่ากับปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯยังเดินหน้าศึกษาการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เพื่อรับมือความเสี่ยงทางธุรกิจที่จะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีทั้งการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการขายสินทรัพย์ในบางส่วนออกไป ซึ่งจะเริ่มทยอยเห็นผลของการดำเนินการได้ในปีหน้า

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

“ในปีหน้า บริษัทฯยังดำเนินการเรื่องการปรับลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยตั้งเป้าหมายจะมีมูลค่าที่ลดได้ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้ รวมถึงยังเตรียมความพร้อมในการออกบอนด์ ทั้งสกุลดอลลาร์ และเงินบาท ซึ่งในส่วนของเงินบาท จะเป็นลักษณะของการนำมาชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่จะครบอายุลง ซึ่งมักจะดำเนินการในช่วง 1-2 ปี”ดร.คงกระพัน กล่าว

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ของปีนี้ ดร.คงกระพัน กล่าวว่า คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปริมาณการขาย allnex ในภูมิภาคเอเชียปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังคงทรงตัว รวมถึงบริษัทฯอยู่ระหว่างพิจารณาขายสินทรัพย์ จึงมีโอกาสที่จะบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ จากปีก่อนที่มีการขายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯมีแผนจะซื้อหุ้นกู้กลับและมีโอกาสที่จะบันทึกกำไรเข้ามาด้วย โดยที่ผ่านมาได้มีการซื้อคืนมาแล้ว 200 ล้านเหรียญ และได้กำไรอยู่ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าไตรมาส 4/66 จะมีกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น

สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในสหรัฐ ยังเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและหาพันธมิตรร่วมลงทุน ขณะที่โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ภายใต้การดำเนินโครงการของบริษัทลูก คือ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่อง 2-3 ปีหลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด (PLA) จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img