วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 2, 2024
หน้าแรกHighlight“บิ๊กโจ๊ก”โวยถูกค้นบ้านเป็นการดิสเครดิต เป็นการเมืองในรั้วตร.ยันไม่เกี่ยวเว็บพนัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“บิ๊กโจ๊ก”โวยถูกค้นบ้านเป็นการดิสเครดิต เป็นการเมืองในรั้วตร.ยันไม่เกี่ยวเว็บพนัน

“บิ๊กโจ๊ก” ลั่นถูกบุกบ้านเป็นการดิสเครดิตทำเสียชื่อ  ชี้เป็นการเมืองในรั้วตร.จะเป็นปมชิงเก้าอี้ผบ.ตร.หรือไม่ ให้สื่อคิดเอาเอง ยันบริสุทธิ์ 100% ไม่เกี่ยวเว็บพนันออนไลน์

เมื่อวันที่ 25 ก.ย.66 ที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า จากการถูกตรวจค้นบ้านพักทาวน์โฮม 3 ชั้น ภายในหมู่บ้าน ซอยวิภาวดี 60 ด้านหลังสโมสรตำรวจ เนื่องจากชุดตรวจค้นพบว่า มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับพ.ร.บ.การพนันฯ เพราะพบว่ามีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงว่า ตนและลูกน้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์นั้น ตนมองว่าการออกหมายค้นในครั้งนี้ เป็นการออกหมายโดยไม่สุจริต เพราะว่าการขอหมายค้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นแจ้งกับศาลเพียงเเค่เรื่องบ้านเลขที่ แต่ไม่ได้บอกต่อศาลว่า เป็นบ้านของใครโดยที่ตำรวจหลายนายนั้น รู้อยู่แล้วว่าเป็นบ้านของตน

“อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหมายมาเเล้ว ก็ต้องให้เข้าค้น เพียงแต่ว่าต้องมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมในการตรวจค้นด้วย ดังนั้น เมื่อค้น ก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่สำคัญในการตรวจค้นบ้านของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ จริงๆ จะต้องมีพยานหลักฐาน ซึ่งในกรณีนี้จะต้องมีเส้นทางการเงินที่ผิดกฏหมาย แต่ในกรณีของผม กลับไม่มีเส้นทางการเงินมาถึงเลยสักเส้นเดียว เพราะฉะนั้นในส่วนของการดำเนินการทั้งหมด ผมจะมาไล่ดำเนินคดีกลับแน่นอน แต่ต้องไปดูก่อนว่า มีการดำเนินการในขั้นตอนไหนที่ละเว้น อะไรอย่างไร”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ส่วนตำรวจทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เป็นลูกน้องของตนทั้งหมด ก็จะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์หรือไม่ ถ้าลูกน้องก็ทำผิด ก็ต้องจับ คนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ลูกน้องที่ถูกจับก็ต้องไปอธิบายให้ได้ว่า เกี่ยวข้องกับเว็บพนันจริงหรือไม่ เส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือปรากฏนั้น เป็นเรื่องอะไร แล้วทั้งหมดก็ต้องยื่นศาลขอประกันตัวเพื่อไปสู้คดีกันต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดไม่เกินเรื่องการเมืองในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หากโดนดำเนินคดีก็ต้องโดน แต่ก็ต้องเชื่อมั่นลูกน้อง เพราะเป็นชุดทำงานเดียวกัน ต้องให้ความเป็นธรรม หากการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่าผิดจริง ต้องดำเนินคดีอาญา คนไหนถ้าผิด ตนไม่ปกป้อง สำหรับตนนั้น วันนี้ยังหาคนสั่งการตรวจค้นไม่ได้ เรื่องนี้ใครทำต้องรับผิดชอบ เป็นการดิสเครดิตและทำให้ตนเองเสียชื่อ เรื่องแบบนี้เจอมาเยอะแล้ว และเตรียมตัวรับแรงกระเเทกแบบนี้แล้วเช่นกัน ยอมรับว่าที่ผ่านๆ มา ตนทำคดีเยอะ และไปเกี่ยวพันกับตำรวจเยอะ ทั้งเส้นทางการเงิน และการออกหมายจับตำรวจอีกหลายคน เข้าค้นอีกหลายส่วน เป็นธรรมชาติที่ต้องรับแรงกดดัน ทั้งคดีกำนันนก คดี 140 ล้าน เป็นต้น

ส่วนกรณีมีการโอนเงินไปให้ลูกน้องนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยว่า เป็นการโอนให้ลูกน้องจ่ายค่าไฟ 1 หมื่นกว่าบาท ไม่ได้ให้เจ้าของเว็บพนันมาจ่ายให้ ถ้ามีเส้นทางการโอนเงินเข้ามา 10-20 ล้าน ค่อยว่าไปอย่าง ส่วนในเรื่องของกรณีที่มีคลิปที่ตนร้องเพลงคู่กันกับ ‘มินนี่’ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่นั้น ตนรู้มานานแล้วว่า จะมีการนำเอาคลิปวิดีโอดังกล่าว มาทำการดิสเครดิต และบอกเลยว่า ตนไม่ได้รู้จักเลยว่า ผู้หญิงที่มาร้องเพลงด้วยนั้นเป็นใคร วันนั้นเป็นงานเลี้ยงลูกน้องของตน โดยมีตนเป็นเจ้าภาพ แต่ว่าการที่ใครจะนำคนนอกเข้ามาในงานนั้น ตนไม่ทราบ นอกจากนี้ เรื่องที่มีภาพออกมา ว่าลูกน้องของตนนั้น มีการไปโอบกอดตัวของ ‘มินนี่’ อย่างสนิทสนมนั้น ทางลูกน้องก็ต้องไปตอบให้ได้ว่า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร หากเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้ท้อแท้ ก็ยังออกมาทำงานตามปกติ เบื้องต้นสิ่งที่ออกมาในวันนี้ ไม่ได้กระทบการทำงานแต่อย่างใด ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษา ตนก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องว่าไปตามกระบวนการพยานหลักฐาน ส่วนประเด็นที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จะออกมาแฉเกี่ยวกับลูกน้องของตนและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 ราย ในวันที่ 27 ก.ย.นั้น อยากแฉก็แฉไปเลย แต่ช่วงบ่ายวันนี้ ตนจะส่งทนายความไปดำเนินการยื่นฟ้องนายอัจฉริยะ ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่ออันไหนไม่จริง ก็ต้องต่อสู้ จะอยู่เฉยไม่ได้ ส่วนกรณีที่พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน อดีตผู้บังคับการภูธรจังหวัดชลบุรี จะแจ้งความดำเนินคดีกับตนในมาตรา 157 ก็สามารถทำได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ไปว่ากันในชั้นศาล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงบ่ายจะไปทำอะไรที่ไหนต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนจะไปประชุมร่วมกับ ผบ.ตร. เกี่ยวกับประเด็นหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ตร.

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า ถ้าเจอ ผบ.ตร. จะพูดอะไรกับผบ.ตร. หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หันมายิ้มกับผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่า คงไม่มีอะไรต้องพูด เพราะ ผบ.ตร.เป็นคนคุมตำรวจชุดนี้อยู่แล้ว ดังนั้น หลังจากนี้ใครทำอะไรไว้ ก็จงรับผิดชอบการกระทำของตนเองให้ได้แล้วกัน ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตนไม่น้อยใจในโชคชะตาแต่อย่างใด ยืนยันจะขอทำหน้าที่ในการใช้กฎหมายสืบสวนสอบสวนปราบปรามการกระทำผิดต่อไป.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img