“ศบค.” ถกเครียด ก่อนตัดสินใจสั่ง “เคอร์ฟิว” 10 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง 3 ทุ่มถึงตี 4 เป็นเวลา 14 วัน มีผลจันทร์ที่ 12 ก.ค.นี้ “ร้านสะดวกซื้อ” ปิด 2 ทุ่ม พร้อมขอความร่วมมือ WFH
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธาน มีการหารือกันอย่างกว้างขวางและเคร่งเครียด ก่อนมีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 2 เดือน ถึง 30 กันยายน 2564 พร้อมกันนี้ ยังเห็นชอบให้คุมเข้มพื้นที่เสี่ยงใน 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี นครปฐม นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา สำหรับรายละเอียดในข้อกำหนด จะแตกต่างกันไปเฉพาะพื้นที่ โดยให้มีผลบังคับใช้ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 ก.ค. 64 นี้ รวม 14 วัน แต่ได้มีการอนุมัติให้เริ่มตั้งด่านปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.64 เป็นต้นไป
สำหรับมาตรการจะมีลักษณะใกล้เคียงกับเมื่อครั้งมีการล็อคดาวน์ เมื่อช่วงเม.ย. 63 อาทิ
-ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติงานในลักษณะ work from home ให้มากที่สุด รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนใช้มาตรการนี้เช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดโรคและการแพร่โรค
-ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิดเวลา 20.00-04.00 ของวันรุ่งขึ้น
-ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงสถานที่ฉีดวัคซีน ทั้งนี้เปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
-ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามบริโภคอาหารหรือสุราหรือเครื่องดื่มในร้านโดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
-ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค ได้แก่ นวดแผนโบราณ สปา และสถานเสริมความงาม
-ระบบขนส่งสาธารณะ งดดำเนินการเวลา 21.00 น.ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
-สวนสาธารณะ สามารถเปิดให้บริการสำหรับการออกกำลังกายได้ถึงเวลา 21.00
-ห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน ช่วงเวลา 21.00-04.00 น. เว้นแต่มีความจำเป็น
-ห้ามการรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกันเกิน 5 คน ฝ่ายความมั่นคงกวดขันจับกุมกลุ่มบุคคลที่จับกลุ่มมั่วสุมกระทำการอันผิดกฎหมาย
-ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบในการกำหนดมาตรการควบคุมในรายละเอียดเพื่อจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด และให้ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนลดจำนวนยานพาหนะในระบบขนส่งสาธารณะให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดและความจำเป็นในการใช้บริการของประชาชน
มาตรการดังกล่าวเริ่มมีผล 12 ก.ค.2564 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ในที่ประชุม ศบค. ได้ปรับแผนการฉีดวัคโควิด-19 กลุ่มผู้สงูอายุและผู้มีโรคเรื้อรัง 7กลุ่มโรคในพื้นที่ระบาดรนุแรง ผู้เสียชีวิตมากกว่า ร้อยละ 75 เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ระดมสรรพกำลังฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง7 กลุ่มโรค ในพื้นที่ระบาดรุนแรง พร้อมตั้งเป้าฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มเป้าหมายแรก จำนวน 1 ล้านคน ภายใน 1-2 สัปดาห์ ในเดือน ก.ค. เพื่อเพิ่มความครอบคลุมวัคซีนกลุ่มนี้เป็น 85 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ให้มีการสำรองวัคซีนบางส่วนเพื่อใช้ควบคุมการระบาดใน กทม.และจังหวัดปริมณฑล โดยใช้กลยุทธ์ขนมครก คือหยอดในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด
