วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 2, 2024
หน้าแรกNEWS“สธ.”แจง“ผู้ป่วยฝีดาษลิง”หลบหนี สัมผัสเสี่ยง 2 ราย เบื้องต้นไม่พบเชื้อ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สธ.”แจง“ผู้ป่วยฝีดาษลิง”หลบหนี สัมผัสเสี่ยง 2 ราย เบื้องต้นไม่พบเชื้อ

กระทรวงสาธารณสุขเผยผลสอบสวนโรค “ผู้ป่วยฝีดาษวานร” รายแรกของประเทศไทย พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 รายแรก ตรวจแล้วไม่พบเชื้อ ย้ำองค์การอนามัยโลกยังไม่ได้ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก

เมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ว่า โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 56 กำหนดอาการสำคัญคือ ไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองบวมโต เจ็บคอ มีตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองที่ศีรษะ ลำตัว อวัยวะเพศ แขนขา หรือฝ่ามือฝ่าเท้า ดังนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อโรคจังหวัด/คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และเจ้าพนักงานควบคุมโรคต้องทำแผนปฏิบัติการโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์โรคหรือเหตุที่สงสัยอาจเกิดการระบาดขึ้น

ทั้งนี้ จ.ภูเก็ตได้ดำเนินการค้นหาและเฝ้าระวังมาต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยรายนี้ได้รับรายงานจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต เป็นชายชาวไนจีเรีย อายุ 27 ปี มีอาการต้องสงสัยเข้าได้กับฝีดาษวานร โดยมีตุ่มขึ้นที่ใบหน้า ลำตัว แขนขา และอวัยวะเพศ จึงเก็บตัวอย่างไปส่งตรวจวิเคราะห์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบผลบวกต่อโรคฝีดาษลิง และส่งตรวจยืนยันซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันผลตรงกัน ทีมสอบสวนโรคจึงรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยรายนี้ ทั้งทางคลินิก ระบาดวิทยา และผลตรวจห้องปฏิบัติการ เสนอคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ พิจารณาโดยละเอียดและประกาศยืนยันเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ว่าเป็นโรคฝีดาษวานรรายแรกของประเทศไทย โดยเป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตกที่มีความรุนแรงน้อย

“จากการสอบสวนโรคผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 ราย ที่เป็นเพื่อนของผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการ ส่งตรวจหาเชื้อไม่พบฝีดาษวานร แต่ต้องสังเกตอาการหรือกักตัวเป็นเวลา 21 วัน และค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในจุดเสี่ยง เช่น สถานบันเทิงที่ไปใช้บริการ นอกจากนี้ทีมสอบสวนยังได้เข้าไปกำจัดเชื้อในห้องผู้ป่วยด้วย” นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาสกล่าวว่า คณะกรรมการวิชาการฯ ให้แจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สงสัยมีอาการเสี่ยงให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย สถานพยาบาลรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยทางคลินิก ทั้งผู้ป่วยสงสัยหรือผู้ป่วยยืนยัน เพื่อให้องค์การอนามัยโลกรวบรวมข้อมูลในการออกคำแนะนำหรือมาตรการต่อไป มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ยังใช้ได้กับโรคฝีดาษวานร โดยต้องเน้นล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีตุ่มหนอง ย้ำว่าต้องไม่ตีตราหรือลดทอนคุณค่าผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยง

ส่วนคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.ให้จัดระบบเฝ้าระวังคัดกรองสถานพยาบาลทุกแห่ง คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยยืนยันต่อไป การรักษาจะรักษาตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสโดยตรง ส่วนวัคซีนที่มีการผลิตและเตรียมใช้มีหลายบริษัท กรมควบคุมโรคสั่งจองเบื้องต้นแล้ว

ส่วนวัคซีนเดิม คือ วัคซีนโรคฝีดาษ (smallpox) ที่องค์การเภสัชกรรมเก็บไว้ อยู่ในขั้นตอนที่อาจจะนำมาใช้ได้ ต้องดูตามข้อบ่งชี้ คือ ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงวัคซีน และประเมินสถานการณ์การระบาด แต่ภาพรวมความจำเป็นการฉีดในวงกว้างยังไม่จำเป็น แต่อาจให้บางกลุ่มเฉพาะ เช่น เจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่สัมผัสเชื้อโรค เจ้าหน้าที่การแพทย์และสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลวัคซีนเดิมพบผลข้างเคียง ต้องพิจารณาดูผลดีผลเสียและความจำเป็นร่วมด้วย

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img