วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlight“วิโรจน์”ฉะรัฐบาลจัดซื้อวัคซีนล่าช้า!! “นายกฯ”โต้ไม่ช้า-ยึดความปลอดภัย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“วิโรจน์”ฉะรัฐบาลจัดซื้อวัคซีนล่าช้า!! “นายกฯ”โต้ไม่ช้า-ยึดความปลอดภัย

“วิโรจน์ ณ ก้าวไกล” เปิดฉากซัด “นายกฯ-หมอหนู” จัดซื้อวัคซีนล่าช้า ทำปชช.เดือดร้อน เจอ “บิ๊กตู่” สวนทันควัน ยันไม่ได้ทำงานช้า ซัดการพูดมันง่าย แต่ไม่รู้ทำงานได้จริงหรือไม่ เย้ยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ย้ำให้เห็นใจคนทำงานด้วย อย่าคิดโยงแต่เป็นเรื่องการเมือง

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.64 ที่สัปปายะสภาสถาน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงไว้กับวัคซีนเพียงเจ้าเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ ขาดความโปร่งใส ขัดขวางการตรวจสอบ การฉีดวัคซีนล่าช้า ปัญหาปากท้องลากยาว การฉีดวัคซีนล่าช้า 1 เดือน ทำประชาชนเสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้านบาท นี่คือความผิดฉกรรจ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ทั้งคู่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ทั้งนี้ปัญหาโควิดไม่ใช่แค่โรคภัยไข้เจ็บ แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่ทำให้คนไทยเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ภาคการท่องเที่ยวปี 2563 สูญรายได้ไปถึง 1.5 ล้านล้านบาท การระบาดระรอกใหม่ มีการประเมินว่าส่งผลกระทบภาคการค้าและการท่องเที่ยว 1.1-1.5 แสนล้านบาท โรงแรม 700 แห่งเตรียมปิดกิจการ ธปท.ประเมินว่าจะมีแรงงานประมาณ 4.7 ล้านคนตกงาน หนี้ครัวเรือนปี 2563 มีหนี้เพิ่มขึ้น 4.8 แสนบาทต่อครอบครัว ธนาคารโลกวิเคราะห์ว่าประเทศไทยมีความยากจนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคน และมีเด็กยากจนประมาณ 1 ล้านคนต้องออกจากโรงเรียน เนื่องจากพ่อแม่ตกงาน แต่หลังจากเกิดการระบาดระลอกใหม่ นายกฯกล้าที่จะบอกประชาชนหยุดอยู่กับบ้าน 14-15 วัน ทั้งที่การแพร่ระบาดดังกล่าว เกิดจากความบกพร่องของตัวเอง

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนเดิมกำหนดจัดหาวัคซีน 65 ล้านโดส ภายใน 3 ปี โดยปี 2564 ฉีด 11 ล้านคน, ปี 2565 ฉีด 11 ล้านคน และปี 2566 ฉีด 10 ล้านคน ชี้ชัดว่าเป็นการวางแผนการฉีดวัคซีนที่ช้ามากๆ กว่าจะฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชาชนครึ่งหนึ่ง กินเวลาไป 3 ปี แล้วอย่างนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และคืนปากท้องให้ประชาชนได้อย่างไร เรื่องนี้ต่างประเทศตื่นตัว แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับทำงานหวานเย็น ประชาชนจะเป็นจะตายไม่สน จะปล่อยให้เป็นนายกฯต่อไปได้อย่างไร ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งตื่นตัวเรื่องวัคซีนไม่นานมานี้ ก่อนเดือนธ.ค.63 ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน โดยมติครม.เมื่อเดือนพ.ย.63 มีการสั่งซื้อวัคซีนจากแอสต้าเซเนก้ารายเดียวแค่ 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรแค่ 23% ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เรียกได้ว่า “ถ้าได้ก็ดี-ไม่มีก็ตาย” พอมีการระบาดระรอกใหม่เพิ่งจะร้อนตัว จึงมีมติจัดหาวัคซีนจากแหล่องอื่นอีกร้อยละ 30 เพื่อให้ครอบคลุมประชากรครึ่งหนึ่ง แต่กลับกระจุกความเสี่ยงด้วยการซื้อวัคซีนเพิ่มจากแอสต้าเซเนก้าอีก 35 ล้านโดส ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า จงใจพาคนไทยทั้งประเทศไปเดิมพันกับการสั่งซื้อวัคซีนเพียงรายเดียว

“ถ้าพล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินมั่นใจว่าจะได้วัคซีนจากแอสต้าเซเนก้าแน่ๆ คงไม่มีมติครม.ในวันที่ 5 ม.ค. ให้จัดหาวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค 2 ล้านโดส มาแก้ขัด แสดงว่าทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่า การฝากความหวังไว้ที่วัคซีนแอสต้าเซเนก้ายี่ห้อเดียว เป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ และเอาชีวิตประชาชนทั้งประเทศไปเสี่ยงเสียด้วย”นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทินต้องตอบประชาชนว่า ในเมื่อรัฐบาลสั่งซื้อวันซีนซิโนแวค แต่ทำไมไม่ซื้อวัคซีนจากบริษัทซิโนฟาร์ม ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนการใช้งาน และผลการทบลองเฟส 3 สูงถึง 79.34-86% และเป็นวัคซีนหลักที่ประเทศจีนใช้ฉีดให้กับประชาชน แต่กลับมีการซื้อวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค ที่มีข่าวว่ามีกลุ่มทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนถือหุ้น 15% ดังนั้นต้องถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเอาเงินภาษีไปทำโครงการวัคซีนคนละครึ่งหรือไม่ ครึ่งหนึ่งรอด-ครึ่งหนึ่งตาย ที่เลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้คือ การจัดหาวัคซีนจากโคแวค ซึ่งนายอนุทินเคยชี้แจงว่าได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมกับโคแวค แต่ไทยขอเลื่อนทำข้อตกลงกับโคแวคกว่า 2 เดือน ทำให้ไทยเสียโอกาสในการจัดหาวัคซีนจากโคแวค เป็นหลักฐานว่านายอนุทินไม่ได้ตั้งใจจัดหาวัคซีนจากโคแวคเลย กว่าจะตั้งคณะทำงานได้ต้องรอถึง 2 เดือนเศษ จนวันนี้ 7 เดือนกว่านายอนุทินเพิ่งจะมาเจรจากับโคแวคใหม่ โดยปัจจุบันมีประเทศต่างๆเข้าร่วมโคแวคแล้ว 172 ประเทศ อาเซียนเข้าร่วมทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย นอกจากนั้นการที่เข้าร่วมโคแวคยอดสั่งซื้อจะมากกว่าทำให้สามารถซื้อวัคซีนจากแอสต้าเซเนก้าได้ในราคาถูกเพียง 3 ดอลลาร์ต่อโดส ขณะที่ไทยสั่งซื้อในราคา 5 ดอลลาร์ต่อโดส

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การที่ ศบค.อนุมัติงบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงบริษัทสยามไบโอไซนส์ เพื่อให้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสต้าเซเนก้าได้ ดังนั้น ศบค.หมายมั่นปั้นมือตั้งแต่แรก ที่จะให้สยามไบโอไซนส์ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเป็นผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 อีกทั้งข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว การสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาล เป็นเงื่อนไขสำคัญที่แอสต้าเซเนก้าเลือกบริษัทสยามไบโอไซนส์ และเชื่อได้ว่าการที่รัฐบาลจัดหาวัคซีนจากแอสต้าเซเนก้า 26 ล้านโดสนั้น เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้แอสต้าเซเนก้าเลือกสยามไบโอไซนส์เป็นผู้ผลิตวัคซีน ดังนั้นจึงอยากให้มีการเปิดเผยสัญญาการจัดซื้อแอสตราฯ จะได้รู้ว่าไทยซื้อแพงกว่าประเทศอื่นหรือไม่ จะทำประชาชนตรวจสอบสมเหตุสมผลหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ตนก็ขอผู้เกี่ยวข้อง และ นายอนุทิน ให้เปิดเผยสัญญาแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ แตกต่างๆจากยุโรป ก็เปิดสัญญาให้ประชาชนดูได้ไม่เห็นว่า แอสตราฯจะยกเลิกสัญญา

“นายกฯรู้ว่า ‘สยามไบโอไซนส์’ มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจัดหาวัคซีน ในวันที่ 27 พ.ย. แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะแสดงความรอบคอบ โปรงใส ปกป้องพระเกียรติยศ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะสำนึกและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี แต่กลับเหิมเกริม ปิดบังความผิดของตน ใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฟ้องเพื่อปิดปาก กับคนที่ออกมาตั้งคำถาม พฤติกรรมลุแก่อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์เช่นนี้ สร้างความระคายเคืองพระยุคลบาท นี่หรือคนที่อ้างว่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พฤติกรรมที่ไร้สติปัญญา ไม่ฟังความคิดเห็นแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข และที่กล้าที่สุดกล้าที่จะเป็นเหลือบ ลิ้น ไร ปรสิต โหนนำสถาบันมาเป็นเกราะกำบัง ป้องกันตัวเองความผิดตัวเอง”นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถึงตรงนี้ ส่งผลให้ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจำนวนมากลุกขึ้นประท้วง ที่นำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ยุติการอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นนายไพบูลย์ นิติตะวัน, นายสิระ เจนจาคะ และน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ มีช่วงหนึ่งที่นายสิระ ระบุว่า “พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร พูดเรื่องสถาบัน” จากนั้นนายสิระได้ถอนคำพูด ขณะที่น.ส.ปารีณา ระบุว่า “จริงๆ แล้วบิดาเขาตัวดีเลย ไลฟ์สดจนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อาจเป็นเหตุให้นายวิโรจน์พาดพิงสถาบันไม่หยุด” จากนั้นน.ส.ปารีณาก็ถอนคำพูด ทั้งนี้ นายชวนก็พยายามควบคุมสถานการณ์ไม่ให้พาดพิงพิงต่อสถาบัน แต่นายวิโรจน์ ได้ชี้แจงว่า การอภิปรายของตนเป็นการพูดตามญัตติ เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากพล.อ.ประยุทธ์ และได้ถอนบางคำพูดที่เกี่ยวข้องสถาบันในที่สุด

นายวิโรจน์ กล่าวสรุปตอนท้ายว่า ประชาชนหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่สุดท้ายต้องสิ้นหวัง สิ้นอนาคต ทั้งนายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ แค่ตนต้องต้องเดินเฉียดใกล้ยังรู้สึกลำบากใจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับสองคนนี้ ผมก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก จึงไม่อาจให้พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจให้นายอนุทิน ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกและ รมว.สาธารณสุขได้เช่นกัน

ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงหลังการอภิปรายของนายวิโรจน์ว่า จะตอบเท่าที่จะตอบ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด และก็ไม่ใช้นักโต้วาที ทั้งนี้ในประเด็นการบริหารเศรษฐกิจและโควิด ตนรู้ความเดือดร้อนของประชาชนดี ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่รู้ ก็คงเป็นไปไม่ได้และอาจรู้มากกว่า เพราะมีข้อมูล ไม่ได้เปิดโซเซียลอย่างเดียว แต่เอาข้อมูลทั้งหมดมาบริหารจัดการ ไม่ได้มีอำนาจแล้วสั่งทั้งหมดได้เลย แต่ฟังหมอและฟังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมดูมาตรการตลอดจนการให้ได้รับวัคฉีนโดยเร็วที่สุด ไม่ได้ต้องการให้ช้าอยู่แล้ว สถานการณ์โควิดเราทำได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่เรายังเผชิญความเดือดร้อนกันอยู่ ซึ่งยืนยันจะทำให้ดีขึ้นพร้อมดูแลทุกภาคส่วน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องวัคซีนนั้นก็ต้องดูผลที่ออกมาด้วย ขอย้ำว่าเป็นการฉีดวาระฉุกเฉิน ไม่ได้ฉีดปกติเหมือนไข้หวัดใหญ่ จึงขอให้ระมัดระวังด้วย ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นั่งรอเฉยๆ และไม่ได้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ถ้าพูดกันแต่ปัญหาความขัดแย้ง ก็จะไม่เกิดอะไรใหม่ ซึ่งตนมีความเป็นห่วงในการพูดเรื่องวัคซีนจะทำให้เป็นปัญหา โดยไม่อยากให้เอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาการเมือง ต้องระมัดระวังและรับผิดชอบกันด้วย ขออย่าให้มีปัญหา ต้องเห็นใจคนทำงานด้วย ไม่ได้ทำงานเช้าชามเย็นชาม แต่ต้องฟังทุกฝ่าย ส่วนวัคซีนจะช้าหรือเร็วเกินไปนั้นก็ให้ฟังรมว.สาธารณสุข ชี้แจง

นายกฯ กล่าวย้ำว่า ตนรับฟังทุกภาคส่วน อะไรทำให้เกิดปัญหา ขอร้องอย่าพูดอีกเลยเวลานี้ วันนี้ตอบท่านด้วยความสบายใจ ยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้วที่ทำได้ในเวลานี้ และอาจทำดีกว่านี้ถ้าสถานการณ์ดีกว่านี้ ขณะเดียวกันหลายเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ โดยเฉพาะช่วงโควิด ซึ่งการพูดมันง่าย แต่เวลามาทำงาน ไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พูดเร็ว ดูดี ดูเก่ง หากมาทำดูเอง จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อเลือกวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ได้รับข้อมูลมาว่าประชาชนคนไทยอยากฉีดวัคซีน 80% และมีอีก 10% ที่ไม่อยากฉีด ส่วนอีก 10% คือคนที่ลังเลและไม่แน่ใจว่า ผู้อภิปรายนั้นอยู่ในกลุ่มที่ไม่อยากฉีดหรือลังเลหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องวัคซีนนั้น ทุกประเทศไม่ได้สั่งจองมาวันเดียว แต่ทยอยเข้ามา โดยวันหน้าถ้าเราผลิตในประเทศได้เอง ก็จะดีขึ้น นอกจากนี้ข่าวดีมากของประเทศไทย นอกจากเราได้วัคซีนจากจีนจากบริษัทซิโนแวคแล้ว เราก็จะมีวัคซีนที่ผลิตเองได้ในอนาคตอีก 3 แหล่ง ซึ่งไทยสามารถทดลองฉีดวัคซีนที่ผลิตเองได้แล้วในเดือนมี.ค.2564 เป็นความร่วมมือการวิจัยและผลิตระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันวัคซีน และองค์การเภสัชกรรม เป็นเทคโนโลยีวัคซีนเชื้อตาย มีความปลอดภัยสูง ผลค่อนข้างเคียงน้อย เก็บดูแลได้ง่าย ตั้งเป้าจะผลิตได้ปีละ 25-30 ล้านเข็ม หรืออาจถึง60 ล้านเข็ม โดยจะสนับสนุนในทุกมิติ นี่คืออนาคตประเทศไทย จะเริ่มเฟสหนึ่งในเดือนมี.ค.64 เฟสสอง พ.ค.64 เฟสสามปลายปี ถ้าเราทำได้จริง คงใช้เวลาอีก 1 ปี ประมาณปี 64-65 เราจะจดทะเบียนวัคซีนของเราเองได้ ก่อนที่จะทดลองเฟสหนึ่งฉีดในคนนั้น ได้ทดลองในหนู แล้วพบว่าได้ผลดี เราจะมีวัคซีนที่ผลิตเองได้ในอนาคต สิ่งเหล่านี้คือการเดินหน้าไทยสู่การเป็นฮับด้านสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลต้องคิดในภาพกว้างทั้งหมด เพราะมีความยึดโยงกัน ทั้งเรื่องของสุขภาพ เศรษฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศ ถ้าเอาตัวเลขมาพูด ก็จะตีกันตรงนั้นตรงนี้ ยอมรับว่าเป็นการทำงานที่ยากมากพอสมควร แต่ตนก็พร้อมที่จะรับฟังและขอบคุณในคำแนะนำจากทุกคน

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img