“พิธา” โต้กลับ ยันมีคุณสมบัติ ความชอบธรรม เป็นนายกฯ ตอก “ส.ว.” อย่าให้มีศาลเตี้ยในรัฐสภา “ชัยธวัช” ลั่นเลือก “ก้าวไกล” ไม่ใช่ล้มล้างสถาบัน
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 13 ก.ค.66 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ได้ชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิงว่า ตามประเด็นที่ถูกพาดพิงในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ประเด็นดังกล่าวไม่อยู่ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล เพราะการแก้ไขกฎหมายอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะพิจารณา การยื่นร่างกฎหมายแล้วจะไม่มีการผูกขาดชุดความมผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง พูดกันแบบวุฒิภาวะไม่หยาบคาย ใช้เหตุผล คือทางออกของประเทศในชุดความคิดที่ขัดแย้งที่เกิดขึ้น
นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยที่บอกว่า ใครหมิ่นสสถาบันให้เอาปืนไปยิงเลย ซึ่งเท่ากับไม่รู้ถึงวัฒนธรรมรับผิดรับชอบ ทั้งนี้ในประเด็นของกฎไอซีซี ที่มีหลักการว่า อาชญากรรรมทางสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะนี้มีประเทศที่ปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวม 27 ประเทศ ซึ่งมีบางประเทศลงนามรับรองแล้ว ทั้งนี้องค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ใช้อำนาจผ่าน ครม.
“ผมขอยืนยันกับสมาชิกรัฐสภา 750 คน ว่าผมมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบ และมีความชอบธรรม แม้กระบวนการที่กล่าวหาผม ทั้งที่ผมไม่รู้ว่าข้อกล่าาวหานั้นคืออะไร เห็นแค่มติผ่านสื่อมวลชน ดังนั้นตามสมมติฐานของทนายหรือนักกฎหมายต้องสมมติฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน อย่าให้มีศาลเตี้ยในรัฐสภา ในปี 2562 ที่มีประเด็นเดียวกัน ขั้นตอนการเลือกนายกฯ ยังไม่กระทบหากจำไม่ผิด มีคนบอกว่าจะเลือกรัฐบาลเสียงข้างมากแบบไม่แตกแถว ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวล ผมยืนยันว่ามีความรัดกุมเกี่ยวกับคุณสมบัติ ทุกครั้งที่เป็นส.ส. ตั้งแต่ครั้งแรก และต่อไป ผมยอมรับการตรวจสอบ ยังดีกว่าบางคนที่ไม่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต.” นายพิธา กล่าว
จากนั้นนายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ต้องลงมติให้นายพิธาเป็นนายกฯ คนต่อไปแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพื่อให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยปกติของรัฐสภา เพราะได้เสียงข้างมากในสภาฯ 312 เสียง การอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาต่อความกังวลใจที่ถูกอภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐหรือไม่ หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นสถาบันหลักของชาติ เจตนาที่แท้จริงของการแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 เป็นอย่างไร ตนไม่ขอลงรายละเอียด แต่ประเด็นสำคัญคือข้อเสนอของพรรคก้าวไกล อยู่บนฐานความคิด สถาบันหลักของชาติ หรือสถาบันการเมืองใดๆ ดำรงอยู่ได้ ด้วยความยินยอมของประชาชน ไม่มีสถาบันใดดำรงอยู่ได้ด้วยการกด ปราบ บังคับ ทั้งนี้ต้องการเตือนสติทุกฝ่าย ทั้งสมาชิกรัฐสภา และทุกฝ่าย ขอให้ตั้งสติ และมองการณ์ไกลในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้สถาบันดำรงอยู่ได้ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง
“การลงมติให้นายพิธาจากพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ เป็นการล้มล้างสถาบัน ไม่รักชาติ เป็นตัวอย่างที่พวกผมพยายามบอกว่า ไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย เพราะสถาบันในระบอบประชาธิปไตย ต้องอยู่เหนือการเมืองและความขัดแย้งทางกการเมือง อันตรายมาก หากต่างฝ่ายต่างดึงเรื่องนี้ เข้ามาพัวพันความขัดแย้งทางการเมืองไม่สมควร ที่จะดึงสถาบันเข้ามาปะทะกับผลการเลือกตั้ง ซึ่งใครจะรับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า การลงมติคืนความปกติให้รัฐสภาไทย และแสดงความเคารพต่อประชาชน รวมถึงให้โอกาสครั้งใหม่ให้กับสังคมไทย เป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาคำตอบของยุคสมัยร่วมกันให้ได้ ขอให้อวยพรให้ประชาชนซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์ในระบอบประชาธปไตย คุ้มครองสมาชิกรัฐสภา ให้ตัดสินใจตามมโนธรรมสำนึกและยึดตามเจตนารมณ์ของประชาชนที่ผ่านการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566
ต่อมาเวลา 11.21 น.นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า เราไม่ได้รังเกียรติ แต่เรายืนยันเราจะไม่สนับสนุนพรรคที่แตะต้องมาตรา 112 บ้านเมืองสามารถแก้ไขได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เลย ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯอย่าไปโทษกกต.ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ เพราะการจะเป็นนายกฯส.ส.กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามถือหุ้นสื่อ ทำไมไม่เอาออกแต่แรกจะได้เลือกนายกฯคนที่ 30 ไปเลย และต้องตอบให้ได้ว่ามาตรา 112 ไปประกาศเวทีนั้นเวทีนี้บอกว่ายกเลิกแต่คืออะไร นักการเมืองปากอย่างใจอยากจะให้ประชาชนจะเชื่อได้หรือไม่
