วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 2, 2024
หน้าแรกHighlight“ปิยบุตร”เจอทัวร์ลงทั้งด้อมส้ม-ติ่งพท. งดพูดถึง“ก้าวไกล”ขอไปเป็น“อาจารย์”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ปิยบุตร”เจอทัวร์ลงทั้งด้อมส้ม-ติ่งพท. งดพูดถึง“ก้าวไกล”ขอไปเป็น“อาจารย์”

“ปิยบุตร”เจอทัวร์ลงทั้งด้อมส้ม-ติ่งเพื่อไทย งดพูดถึง “ก.ก.”เบื่อหนักขอกลับไปเป็นอาจารย์ แนะแก้ก.ม.เรื่องมาตรฐานจริยธรรมออกจากรธน.และยกเลิกโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต 

เมื่อวันที 22 ก.ย.66 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า จัดเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงกรณีคำพิพากษาศาลฎีกากศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป คดีฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้าตอนหนึ่งว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นตนมีข้อเสนอแนะ 2 ข้อในการแก้ไขปรับปรุงเรื่องมาตรฐานจริยธรรม สส. คือ 1.เอาเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมออกไปจากรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องไปอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้วให้แต่ละองค์กรเขาไปกำหนดขึ้นมาเอง รัฐธรรมนูญควรพูดเรื่องอำนาจหน้าที่ของสถาบันการเมือง เรื่องการประกันสิทธิเสรีภาพ เรื่องการเข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมืองเป็นอย่างไร เช่น ของ สส.ให้เขากำหนดและลงโทษกันเอง ศาลฎีกาท่านไม่ต้องเข้ามา   

2.จัดการยกเลิกโทษเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตออกไป จัดการยกเลิกโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งออกไป เพราะเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในการไปกากบาทลงคะแนน เราอาจจะยังคงเหลืออยู่ได้บ้างในกรณีตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง แต่ต้องเขียนขอบเขตของโทษให้ชัดเจน อย่าเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลยพินิจแบบนี้ เช่น  เขียนไปเลยระวางโทษ 1-2 ปี 1-3 ปี  1-5 ปี ก็ว่าไป ตัดสิทธิ์สมัคร แต่ไม่ใช่เปิดเอาไว้กว้างขนาดนี้ เพราะรัฐธรรมนูญ 40 และ 50  เขียนไว้ไม่เกิน 5 ปี เดี๋ยวนี้ขยายไป 10 ปี ตนคิดว่าสูงจนเกินไป  

นายปิยบุตร กล่าวว่า นอกจากนั้นไปจัดการแก้ไขมาตรา 98 ของรัฐธรรมนูญด้วย เพราะเขียนเอาไว้เต็มไปหมดถึงลักษณะต้องห้ามการเป็น สส. แล้วมันโยงไปถึงการเป็นรัฐมนตรีต่อ ห้ามจนทำให้คนที่เขาได้รับโทษจากการกระทำไปแล้ว ติดคุก โดนยึดทรัพย์ หรือลงโทษทางวินัยไปแล้ว วันนี้ก็ยังต้องโดนอีกทีคือห้ามลงเล่นการเมือง ตนคิดว่าต้องแยกออกจากการกันเอาเรื่องพวกนี้ออกไป การห้ามคนรับสมัครลงเลือกตั้ง คุณจะไปเขียนเยอะขนาดนี้ มันตึงเกินไป มันเป็นการลงโทษคนซ้ำซ้อน การกระทำของเขาถูกลงโทษไปแล้ว ทำไมเขาต้องถูกตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งอีก 

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ท้ายที่สุดตนคิดว่าต้องให้กำลังใจ นส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และนักการเมืองอีกหลายๆ ท่านที่โดนเรื่องเหล่านี้ บางท่านอาจจะโดนในข้อหาคดีอาญามาอะไรก็แล้วแต่ แต่เข้าได้รับโทษไปแล้ว มันไม่ควรเอามารวมกับเรื่องจริยธรรมอีก แต่ไปนี้การกระทำหนึ่งโดนซ้ำแล้วซ้ำอีก คนนี้โดนคดีอาญาไปแล้ว ต่อมาคนๆ นี้โดยจริยธรรมอีก แล้วต่อมาคนๆ นี้ก็โดนติดสิทธิ์รับสมัครับเลือกตั้งตลอดชีวิตอีก ตนว่ามันเยอะมาก จึงต้องให้กำลังใจบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่โดนลักษณะแบบนี้ ตนไม่ได้หมายความว่าให้เขาพ้นผิดลอยนวล อะไรที่เขาผิดก็ว่าไปตามผิด แต่มันไม่ควรเป็นลูกระนาดต่อเนื่องมาขนาดนี้ไม่ควรไปตัดสิทธิ์เขาตลอดชีวิตแบบนี้  

“ ต้องให้กำลังใจ น.ส.พรรณิการณ์ พอ น.ส.พรรณิการ์โดนลงโทษแบบนี้ ส่วนตัวผมก็เสียใจและมีความรู้สึกนึกย้อนไปเหมือนกันว่าถ้าวันนั้นผมไม่ชักชวนมาตั้งพรรคอนาคตใหม่ คุณช่อก็อาจเป็นผู้ประกาศข่าว แล้วก็เป็นผู้ประกาศข่าวที่มีชื่อเสียงและผลงานเป็นที่นิยมชมชอบของคนจำนวนมาก แต่วันนั้นคุณช่อก็เด็ดขาดมาก ผมชวนปุ๊บก็ตัดสินใจมาร่วมเดินทางด้วยกัน เพราะเห็นว่าเราต้องการมีพรรคการเมืองที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ได้” นายปิยบุตร กล่าว 

นายปิยบุตร กล่าวต่ออีกว่า กรณีที่ตนวิจารณ์พรรคก้าวไกลว่าแสดงออกเรื่องนี้ช้าเกินไปหน่อย ก็ยอมรับตรงไปตรงมาว่าตนอินกับเรื่องนี้มาก และตนก็คาดหวังว่าพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมืองที่มีจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มาโดยตลอดเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เรื่องการใช้นิติสงครามประหัตประหารกันแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.พรรณิการ์ก็ไม่ใช่อื่นไกลเป็นผู้เริ่มต้นก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่มาและยังเป็นผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลด้วย ตนจึงตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ทราบดีกว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับตน วิจารณ์ตนกลับมาจำนวนมาก บ้างก็ว่าตนใจร้อน บ้างก็ว่าทำไมไม่ดูไลน์กลุ่ม ทำไมไม่ส่งไลน์กันภายใน ทำไมต้องมาพูดข้างนอก ตกลงแล้วตนหวังดีกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ 

“ผมเรียนว่าที่ท่านวิพากษ์วิจารณ์ผมมา ผมอ่านทั้งหมด แล้วก็น้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เป็นธรรมดาบุคคลสาธารณะต้องโดนคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ แต่ผมอยากชี้แจงว่าผมไม่มีโอกาสเข้าไปแนะนำ แนะแนวอะไรในพรรคก้าวไกลเขาหรอก บางคนบอกก็ให้ผมไปคุยกับ สส. หรือยกหูหากันเงียบๆ สิ คำถามคือหนึ่งในทางกฎหมายผมถูกห้ามอยู่แล้วเรื่องครอบงำ และในทางความเป็นจริงๆ ผมก็ได้มีโอกาสไปแนะแนวแนะนำใครเลย เว้นเสียแต่อาจจะเจอ สส.ในชีวิตประจำวัน ถ้ามีอะไรก็พูดคุยกัน แต่ผมไม่ได้เข้าไปสั่งสอน ไปให้คำปรึกษาอะไรภายในพรรคเขาได้เลย ดังนั้น สส. 151 คนและคณะผู้นำของพรรคผมจะไปสื่อสารอะไรกับเขาได้ ผมทำได้มากที่สุดก็คือโพสต์ในที่สาธารณะเพื่อให้มันเป็นหลักประกันชัดเจนว่าทุกคนได้เห็นแน่นอน ได้อ่านแน่นอน สมาชิกพรรคทุกคนได้อ่าน โหวตเตอร์ทุกคนได้อ่าน ผู้สนับสนุนพรรคทุกคนได้อ่าน สส.พรรคทุกคนได้อ่าน ทีมงานได้อ่านหมด เพราะมันเป็นที่สาธารณะ เพราะผมไม่มีโอกาสไปทำงานในนั้นเพราะกฎหมายมันห้าม กฎหมายมันห้ามไม่พอ เขาก็ไม่เคยชวนผมไปทำอะไรด้วย แล้วก็ไม่ได้ให้ผมไปทำอะไรอยู่แล้วด้วย” นายปิยบุตรกล่าว  

นายปิยบุตร กล่าวว่า ดังนั้นตนจึงวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้และกระทำมาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ลองคิดดูว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของตนต่อพรรคก้าวไกล ตนได้อะไรขึ้นมาบ้าง ตนไม่ได้อะไรเลยนะ ถามว่าตนได้ประโยชน์ส่วนบุคคลอะไรจากการวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลบ้าง ตรงกันข้ามมีแต่คนเกลียดตนเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิมที่ผ่านมาเวลาตนแสดงความคิดเห็นจะมีใครมาต่อต้านโจมตีตน ก็คือปฏิบัติข้อมูลข่าวสารของฝ่ายอนุรักษ์จารีตซึ่งตนโดนมา 10 กว่าปีแล้วมากกว่าทศวรรษ เป็นขาประจำ พอตนมาช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลอย่างเต็มที่ครั้งที่แล้ว ตนก็โดนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยตอบโต้วิพากษ์วิจารณ์ มาวันนี้ตนวิจารณ์พรรคก้าวไกล ตนก็โดนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลตำหนิติเตียนไม่พอใจอีก พูดกันอย่างตรงไปตรงมาถ้าตนจะโดนวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษ์อยู่แล้วก็ไม่เป็นไรและพอเข้าใจได้ โดนจากพรรคเพื่อไทยก็ไม่เป็นไรเพราะมันแข่งขันอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว  แล้วตนหาเรื่องใส่ตัวอีกทำไม มาวิจารณ์พรรคก้าวไกล กลายเป็นว่าต่อจากนี้ตนพูดอะไรไปมีคนจองกฐินตน 3 กลุ่ม ตนไม่ได้อะไรเลย มาดำรงตำแหน่งก็ไม่ได้ กลับมาเล่นการเมืองก็ไม่ได้ อามิสสินจ้างก็ไม่ได้ ค่าตัวขึ้นหรือไม่ก็ไม่มี ความนิยมชมชอบลดน้อยถอยลงอีกเพราะมีแต่คนด่าเพิ่มขึ้น  

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า แต่ตนทำไปทำไม สั้นๆ คำเดียว ผมยังเชื่อมั่นในพรรคก้าวไกลอยู่ว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และด้วยความเชื่อมั่นแบบนี้ก็ต้องพูดกันตรงไปตรงมา ดังนั้นใครจะวิพากษ์วิจารณ์ตนก็เต็มที่ ตนอ่านทุกอันและหลักคิดตนก็มีมาโดยตลอดไม่มีการลบโพสต์ ไม่มีดำเนินคดี วิจารณ์ตนมาเลยเต็มที่ แต่อยากให้ยืนกันอยู่ตรงนี้ก่อนว่า ตนไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการวิจารณ์พรรคก้าวไกลแน่ๆ มีแต่คนเกลียดตนเพิ่มมากขึ้นด้วย และตนทำไปทำไมฝากให้ลองไปคิดกันดู สำหรับตนยังเดินหน้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรต่างๆ ในโลกวันนี้ก็เพราะว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น  วันนี้ตนอยู่เฉยๆ ก็ได้ ทำตนเป็นผู้ทรงภูมิแล้วก็ดูกระแสสังคมว่าพูดอะไรแล้วคนชอบค่อยออกมาพูด อะไรที่พูดแล้วผู้ฟังแสลงหูก็ไม่ต้องพูด เดี๋ยวตัวเองสูญเสียความนิยม ถ้าตนเป็นคนแบบนี้ก็ไม่รู้จะเป็นนักวิชาการปัญญาชนทำไม  นักวิชาการปัญญาชนสาธารณะต้องกล้าแสดงออกในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าแสดงออกไปแล้วอาจจะไม่ได้รับความนิยม อาจจะมีคนไม่ชอบ แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ และตรงกับจิตสำนึก ตนคิดว่าก็ต้องแสดงออกไป  

“วันนี้ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอาจจะไม่พร้อมที่จะให้ผมวิพากษ์วิจารณ์เท่าไร หรืออาจจะหงุดหงิดว่าอะไรกันนักกันหนา ก็ไม่เป็นไร ว่ากันไป อย่างน้อยคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ท่านพูดมาผมได้อ่านหมดฟังหมด แล้วก็กลับมาคิดทบทวนว่าถ้าสถานการณ์มันเป็นไปในลักษณะที่ว่าไม่พร้อมที่จะฟังการพูดอย่างตรงไปตรงมาของผม นับตั้งแต่นี้ผมก็จะพยายามไม่พูดถึงพรรคก้าวไกลแล้วกัน เดี๋ยวก็จะมีอีกข้อเขียนหนึ่งผมได้เตรียมการแล้ว เป็นข้อเขียนด้วยความปรารถนาดีถึงพรรคก้าวไกล อาจจะเป็นข้อเขียนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงพรรคก้าวไกลแล้ว และต่อจากนี้ผมจะไม่พูดแล้ว เพราะรู้สึกว่าพูดแล้วก็จะมีคนที่ไม่เห็นด้วยไม่พอใจเท่าไร อย่างน้อยที่สุดข้อเขียนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงพรรคก้าวไกลก็ลองไปพิจารณาดู มันอาจจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อการเมืองไทย ต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ผมที่เป็นผู้แทนฯ พรรคก้าวไกล และคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลด้วย” นายปิยบุตร กล่าว 

นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนการไลฟ์อะไรต่างๆ ของตน เดี๋ยวค่อยดูกันอีกที วันนี้เกิดอารมณ์เบื่อขึ้นมาแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อสาธารณะประโยชน์ไปทำไม พูดไปแล้วก็ทัวร์ลงทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายความมั่นคง พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลก็ทัวร์มาลงตน โดนหมดทุกทาง ก็เริ่มคิดว่าน่าจะไปพักผ่อนอยู่สบายๆ ดีกว่า งดบทบาทในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะบ้าง ดังนั้นก็เลยไม่กล้ามารับปากว่าการไลฟ์แบบนี้จะโผล่มาเมื่อไร ส่วนข้อเขียนต่างๆ ต่อไปนี้อาจจะไปเขียนเรื่องอื่นแล้วดีกว่า เขียนเรื่องหนังเรื่องเพลง เรื่องฟุตบอล เรื่องวอลเลย์บอลดีกว่า ไม่ต้องมาพูดเรื่องการบ้านการเมืองเพราะพูดไปแล้วมันมาทุกทิศทุกทาง แล้วก็นั่งทบทวนคิดถึงตัวเองบ้าง ที่ผ่านมาไม่ค่อยคิดถึงตัวเองเท่าไร คิดถึงแต่สาธารณะตลอด เมื่อคืนนี้ตนเริ่มคิดถึงตัวเองมากขึ้น ว่าทำไปทำไม  แสดงออกให้คนเกลียดเรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเกลียดมาทุกทิศทุกทางด้วย เอาเป็นว่าจะพยายามไม่พูดถึงในสิ่งที่คนรู้สึกว่าพูดแล้วไม่พอใจ ไปทำอย่างอื่นแล้ว จะพยายามไปเขียนหนังสือตำรับตำราที่ตนค้างไว้ และคิดว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงอาจารย์ถ้าเล็งเห็นว่าตนพอจะมีประโยชน์ถ้าเชิญตนไปสอนหนังสือบรรยายก็ยินดี  

“ระหว่างนี้ไม่มี ก็คิดว่าจะกลับไปเขียนหนังสือตำราเรียนที่เขียนค้างไว้ตั้งแต่เป็นอาจารย์และลาออกมาตั้งพรรคอนาคตใหม่ คิดว่าถึงเวลาน่าจะยุติเรื่องพวกนี้เสียที แล้วก็กลับไปทำงานวิชาการของตนจะดีกว่า เสียดายความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็คิดว่ากลับไปเขียนหนังสือให้มันเสร็จดีกว่า เรื่องการเมืองก็ให้เขาว่ากันไปตามบทบาทของแต่ละคน”นายปิยบุตร กล่าว  

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img